" ข้าพเจ้าเคยผ่านจุดนี้ เมื่อสามปีที่แล้ว ท่านผู้อาวุโส "
พอทั้งสามคนได้ฟังคำตอบจากโค้วหย่ง ถึงกลับตื่นตระหนกทั้งตื่นเต้นยินดี คาดมิถึงว่าบุรุษ
หนุ่มผู้นี้จะสำเร็จ พลังภายในขั้นสุดยอดของมรรคาบู๊ ตั้งแต่เยาว์วัย เจ้าสำนักหัวซานกล่าวด้วยสี
เหนื่อยอ่อน ขึ้นมาอีกครา
" บูรพาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่ มีพลังปราณระดับเหนือธรรมชาติ ย่อมมีโอกาสฝึกวิชาทั้งสอง
สายได้อย่างเร็ดเร็ว ทั้งยังสามารถหล่อรวมเพลงกระบี่หัวซานและพลังปราณมังกรแดงเก้า
ให้เป็นหนึ่งได้ แต่น่าเสียดายเหล่าบูรพาจารย์ของหัวซานมิมีใคร ฝึกได้ถึงขั้นนั้น "
" ศิษย์พี่เจ้าสำนักหมายความว่าถ้าหาก ผู้ตรวจการเทียนหย่ง ฝึกเพลงกระบี่หัวซาน และพลัง
ปราณมังกรแดง อาจสามารถประสบความสำเร็จได้ " เตียวทูฟงกล่าวอย่างตื่นเต้น
เซียนเมาน้ำเต้าแดง กล่าวขึ้นว่า
" ถ้าอย่างนั้นรีบสอน วิชาทั้งสองสายให้ ท่านผู้ตรวจการ เทียนหย่ง โดยไว "
ฝ่ายโค้วหย่งเทียนเมื่อได้ฟัง ครุ่นคิดขึ้นว่าตนมีสำนักอาจารย์ ไฉนจะกราบไว้ ฝึกวิชาฝีมือกับ
สำนักอื่นอีกเล่า อึกอักจึงกล่าวขึ้นว่า
" จะได้อย่างไร ท่านผู้อาวุโส "
ทั้งสามเมื่อได้ยินคำกล่าวของบุรุษหนุ่ม จึงมีสีหน้าสลดลงทั้งเข้าใจ ความคิดของโค้วหย่ง
เทียน ต่างนิ่งเงียบชงักงันไป ทั้งสามต่างมองตากัน พากันคงเขาลง จนทำให้โค้วหย่งเทียน
ตื่นตระหนกฝ่ายเซียนเมาน้ำเต้าแดงคุกเขาลงพร้อมกล่าวขึ้นว่า
" ท่านผู้ตรวจการได้โปรด ช่วยเหลือหัวซานให้พ้นวิกฤตครั้งนี้ด้วยเถิด "
" การฝึกวิชาสำนักอื่น เพื่อผดุงคุณธรรม มิถือว่าผิดกฎของวิชาบู๊ ขอท่านช่วยกำจัดศิษย์ทรยศ
ซึ่งอีกทั้งเป็นความหวัง ก่อนตายของข้าพเจ้าเล้งซุนคุ้ง ด้วยเถิด "
เจ้าสำนักหัวซานกล่าวจบ ก็กระอักโลหิตออกมา หายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เป็นภาพที่โค้วหย่ง
เทียนยากที่ใจแข็งขืน ประเสธออกไปได้ จึงอ้ำอึ้ง
" พวกท่าน ไฉนทำเช่นนี้ " โค้วหย่งเทียนกล่าวขึ้น เตียวทูฟงจึงกล่าวขึ้นว่า
" เมื่อท่านสำเร็จวิชาหัวซานทั้งสองสาย ย่อมช่วยเหลือหลายชีวิตมิให้ตกตายไป อีกทั้งมิผิด
กับปณิธานของผู้เป็นอาจารย์ท่าน ต่อไปภายภาคหน้า ท่านเห็นศิษย์หัวซานคนใด เหมาะสมจึง
ถ่าย ทอดวิชากลับคืน "
ลำพังดาบตัดสายฟ้า และพลังเทพอัสนีบาต โค้วหย่งเทียนย่อมมั่นใจ ว่าสามารถจัดการกับ
เหล่าคนบนหัวซานได้ แต่โค้วหย่งเทียนย่อมทราบดี ถึงจุดประสงค์ของทั้งสาม ว่าต้องการให้
ตนใช้วิชาหัวซานจัดการกับศิษย์ทรยศของสำนัก เมื่อมองดูสายตาของคนทั้งสามยิ่งสะท้อนใจ
โดยเฉพาะสภาพที่ร่อแร่ เจ้าสำนักหัวซาน ต้องถอนใจ หวนนึกถึงคำกล่าวของดาบจอมภพ ผู้เป็น
อาจารย์
" หย่งเทียน อันว่าวิชาบู๊ มิว่าวิชาใด ย่อมมีรากฐานเดียวกันนั้นคือ เป็นมรรคาบู๊ ประดุจห้วง
มหรรณพอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และย่อมมีแม่น้ำสาขาย่อยที่แยกไป ฉะนั้นเจ้ามิควรยึด
ถือวิชาฝีมือเป็นของตายตัว มิฉะนั้นอาจทำให้ ฝีมือหยุดนิ่ง จนมิอาจจะก้าวหน้าให้สูงยิ่ง
ขึ้นไปได้ "
" ถ้าเป็นเช่นนี้ผู้เยาว์คงมิกล้าปฏิเสธ "
เสียงของโค้วหย่งเทียนกล่าว สร้างความยินดีแก่คนทั้งสาม เจ้าสำนักหัวซานที่ทำท่าร่อแร่
กลับคึกคักสีหน้ามีสีเลือดขึ้นมา เตียวทูฟงกล่าวขอบคุณอยู่มิหยุดยั้ง เซียนเมาน้ำเตาแดงกระโดด
โลดเต้นปานเด็กทารก เมื่อได้สิ่งของถูกใจ พลางหัวเราัะพร้อมทั้งกระดกน้ำเต้าแดงอยู่มิขาด
ขณะที่เมี่ยวสั่งเซิน สือเซิงและพรรคพวกกำลังมุ่งหน้ามายัง สุสานบูรพาจารย์หัวซาน ผู้ที่อยู่ใน
สุสานกลับทุ่มเทอย่างมุ่งมั่น หนึ่งฝึกฝนสามคนชี้แนะ แม้ว่าบุรุษหนุ่มจะมิใช่ยอดอัจฉริยะ แต่สำ
หรับผู้ที่เคยผ่านห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่ อย่างโค้วหย่งเทียน ย่อมข้ามสายธารได้อย่างมิยากเย็น
วิชาสำนักหัวซานกลับเป็น สายธารอันลี้ลับหลายร้อยสายสลับซับซ้อน ยามกระทันหันมิอาจเรียนรู้
ได้สิ้น แต่อานุภาพของกระบี่ และพลังปราณแดงกลับเหนือล้ำกว่าเตียวทูฟง และเซียนเมาน้ำเต้าแดง
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาทั้งหมดที่ตนมี อีกทั้งได้พลังอัสนีบาตหนุนส่งจึง
ทำให้บุรุษหนุ่มรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
อันวิชาดาบตัดสายฟ้ากับ วิชากระบี่หัวซาน แม้จะต่างกันตรงรูปลักษณ์ แต่ความพิศดารของกระ
บวนท่ากลับเป็น แนวทางเดียวกัน โดยทั่วไปผู้ฝึกดาบจะเน้นถึงพลังดาบในแนวกร้าวแกร่งดุดัน ฝ่าย
ผู้ฝึกกระบี่กลับเน้นแนวทางพริ้วไหวรวดเร็วจึงต่างกัน แต่วิชาดาบตัดสายฟ้ากลับเป็นการรวมเอาปม
เด่นทั้งดาบและกระบี่มารวมกัน แม้ตัวดาบตัดสายฟ้าจะใหญ่อันเน้นถึงพลัง แต่ความเบาบางกลับแฝง
ด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวสุดเปรียบปาน ฝึกอยู่ครู่หนึ่งโค้วหย่งเทียนจึง ทำความเข้าใจหลักของ
วิชาสำนักหัวซานได้
ขณะนั้นที่ปากสุสานมีเสียงฝีเท้าผู้คนดังมา เซียนเมาน้ำเต้าแดงกับเตียวทูฟง จึงโถมกายรีบออก
ไปเืพื่อสกัดกั้นหมายถ่วงเวลา
" เฮอะๆ นึกว่ายอดฝีมือใด ที่แท้ก็เป็นพวกที่โดนขับออกจากสำนัก " เมี่ยวสั่งเซินกล่าวขึ้น
" ถึงแม้พวกเราจะถุกขับออกจากสำนัก แต่ใจเรามิเคยทรยศสำนักเช่นพวกที่อยู่ในสำนัก "
เตียวทูฟงกล่าวสวนขึ้น พลางกวาดตาจ้องมองบรรดาศิษย์หัวซานที่ขณะนี้ ไปเข้ากับเมี่ยวสั่งเซิน
จนหมดสิ้น
คำกล่าวทำให้บรรดาศิษย์หัวซานต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วน สือเซิงหัวหน้าทหารจึงแค่นเสียง
กล่าวขึ้น
" เฮอะ จะตายอยู่แล้วยังทำเป็นปากกล้า "
" บิดามีมือมีเท้า คงมินิ่งให้เชือดเฉือนอยู่ถ่ายเดียวเป็นแน่ แม้นจะตายก็ขอลากพวกเจ้าไป
ด้วยสักหลายคน ฮ่า ฮ่า "
เซียนเมาน้ำเต้าแดง กล่าวขึ้นพลางชี้นิ้วกราดไปทั่ว จากนั้นก็กระดกน้ำเต้าขึ้นดื่มอักอัก เตรียม
พร้อมลงมือ
ภายในสุสาน โค้วหย่งเทียนกำลังขมักเขม้น ฝึกฝนวิชาหัวซานทั้งสองสาย การหล่อหลอมกลับ
ยังมิอาจจะทำได้ เหมือนกับวิชาทั้งสองมีเยื่อบางบาง ที่ยืดหยุ่นหนืดเหนียวกางกั้นมิอาจจะทลวง
ผ่านไปได้ พลันมีสองเงาร่างพุ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่เงาร่างนั้นกลับเป็นของเซียนเมาน้ำเต้าแดงกับ
เตียวทูฟง ที่ลอยเคว้งประดุจใบไม้ร่วงที่ ถูกพายุพัดพา
โค้วหย่งเทียนพลันวาดฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น เกิดเป็นสายพลังสีจางจาง พยุงร่างทั้งสองไว้ พร้อม
กันนั้นได้ยิน เสียงหนึ่งตะโกนเข้ามา
" ฮ่า ฮ่า มาฝึกวิชาตอนนี้ มันจะมิสายไปหน่อยหรือ " ผู้กล่าวคือเมี่ยวสั่งเซิน
" ข้าพเจ้าว่า พวกท่านทั้งสี่รามือรับความตายแต่โดยดี จึงจะไม่ตายอย่างทรมาน " เสียงของ
หัวหน้าทหาร สือเซินกล่าวเสริมขึ้น ราวกับว่าได้กำเอา ชะตาชีวิตของคนทั้งสี่ไว้ในมือตน
ทันทีที่โค้วหย่งเทียน เห็นเมี่ยวสั่งเซินและบรรดาพรรคพวก เข้ามาในสุสาน อีกทั้งเมื่อเหลียวมอง
ร่างอันบอบช้ำ ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของ เตียวทูฟงและเซียนเมาน้ำเต้าแดง จึงบังเกิดโทสะ แค่น
เสียงกล่าวอย่างเย็นชาขึ้นว่า
" แม้ข้าพเจ้าจะเพิ่งฝึก แต่เกรงว่าคงมิง่ายนัก ที่พวกท่านจะฆ่าข้าพเจ้าได้ "
" เด็กทารกวาจาสามหาว " หัวหน้าพรรคทรายดำ ติงต่งกล่าวขึ้น
" ติงต่ง เป็นเยี่ยงไรบ้างลิ้มรสฝ่าเท้าของบิดา ฮ่า ฮ่า " เซียนเมาน้ำเต้าแดง ที่อยู่ในสภาพทุลักทุ
เล ส่งเสียงขึ้น ในมือยังประคองน้ำเต้าแดง ประหนึ่งประคองคนรักอย่างทะนุถนอม กล่าวจบก็กระดก
สุราลงคอดังเอื๊อก
หัวหน้าพรรคทรายดำติงต่ง สีหน้าแดงกำด้วยโทสะ ทั้งอับอาย จนตัวสั่นระริกใคร่จะฉีก เนื้อเซียน
เมาน้ำเต้าแดงออกเป็นชิ้นๆ เมี่ยวสั่งเซินพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชาขึ้นบ้างว่า
" เฮอะ ขนาดสามยอดฝีมือหัวซาน ยังมีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ ทารกอย่างเจ้าไหนจะทานทนได้
จะฆ่าทารกอย่างเจ้าก่อนดี หรือฆ่า เศษสวะทั้งสามก่อนดี "
" เมี่ยวสั่งเซินอย่ากำแหงให้มาก แม้เราตาย เราก็จะได้ไปพบนางก่อนที่ปรโลก " เจ้าสำนักหัว
ซานเล้งซุนคุ้ง กล่าวขึ้นอ้างถึงนางในดวงใจที่ทั้งสองแยกชิงกันมาทั้งชีวิต
" เล้งซุนคุ้งเกรงว่า นางจะจำเจ้ามิได้ เพราะข้าจะให้เจ้าตายอย่างซากมิสมบูรณ์ ฮ่า ฮ่า "
" มันก็มิแน่ว่า ผู้ใดจะตาย หรืออาจเป็นท่านก็ได้ เมี่ยวสั่งเซิน " โค้วหย่งเทียนกล่าวขึ้น
ทันทีที่โค้วหย่งเทียนกล่าวจบ มีศิษย์สำนักหัวซานเหนือผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มือฝีมือกล้าแข็ง ชักกระบี่
ตวาดเสียงก้อง โถมเข้าหาโค้วหย่งเทียน หมายสยบบุรุษหนุ่ม เืพื่อเอาใจผู้เป็นนายตน ด้วยคาดว่า
บุรุษหนุ่มชุดเขียว ที่เิ่พิ่งจะฝึกวิชากระบี่หัวซาน ฝีมือคงมิเท่าไหร่ หรือจะสู้ตนผู้ฝึกกระบี่หัวซานมา
หลายสิบปีได้ไฉน ดีดลูกคิด ตนมีแต่ได้กำไรถ่ายเดียว แต่หารู้ไม่ว่าตนกำลังล้อเล่นกับพญามัจุราช
พลันโค้วหย่งเทียนขยับไหล่คราหนึ่ง เสียงร้องโอดโอยครวญคราง กลับดังขึ้นจากปากศิษย์หัว
ซานเหนือผู้นั้น เห็นมันยกมือป้องศรีษะที่ชุ่มไปด้วยโลหิตทั้งสองข้าง โลหิตไหลย้อยเป็นทางลงสู่
พื้น และที่พื้นนั้นเอง มีซากอวัยวะใบหูสองข้างตกอยู่ เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมิมีใครมอง
ทันว่าเกิดสิ่งใดขึ้น บุรุษหนุ่มโพกผ้าชุดเขียวผู้นี้ลงมือเช่นไร กลับเฉือนเอาใบหูทั้งสองข้าง ของ
ศิษย์หัวซานผู้มีฝีมือกล้าแข็ง อย่างง่ายดาย ทำเอาผู้คนต่างเหน็บหนาว
" ที่แท้ก็ีมีฝีมือ อยู่ท่าสองท่า จึงปากกล้านัก " สือเซินหัวหน้าทหารกล่าวขึ้น
ฝ่ายเมี่ยวสั่งเซิน เห็นดังนั้นจึงคิดว่าควรจะกำจัด บุรุษหนุ่มโพกผ้าชุดเขียวก่อน จึงร้องสั่งบริวารเข้า
รายล้อมโค้วหย่งเทียน
" ถ้าเป็นเช่นนี้คงต้องฆ่า ทารกน้อยผู้นี้ก่อน จัดการ "
เมื่อคำกล่าวของเมี่ยวสั่งเซินจบลง มือกระบี่ มือดาบ ทั้งหลาย ต่างโถมเข้าหาเป้าหมายเพียงหนึ่ง
เดียว คือโค้วหย่งเทียน ฉากการต่อสู้จึงดำเนินขึ้น อย่างดุเดือด โค้วหย่งเทียนร่ายรำวิชากระบี่หัว
ซาน ที่ตนเพิ่งร่ำเรียนมา อย่างพริ้วไหวลึกล้ำมิแพ้เจ้าสำนักหัวซาน บางครั้งก็ใช้พลังปราณมังกรแดง
เตียงทูฟง เซียนเมาน้ำเต้าแดง เจ้าสำนักหัวซาน ต่างจ้องมองการต่อสู้ของ อันบ้าคลั่งของเหล่านักบู๊
ทั้งร้อยกว่าคน ที่กลุ้มรุมบุรุษหนุ่มชุดเขียว เพียงผู้เดียว อย่างหวาดหวั่น ถึงแม้พวกตนคิดจะช่วยเหลือ
แต่กลับมิอาจทำสิ่งใดได้ ด้วยสภาพของพวกตน แค่พยุงกายให้ลุกขึ้นก็ยากยิ่งแล้ว จึงได้แต่ร่ำร้องด่า
อยู่มิขาดปาก ทั้งยังมองมิเห็นร่างของโค้วหย่งเทียน มีเพียงประกายสีเขียว วูบวาบประดุจพญามังกร
เขียว ท่องอยู่ในกระแสวารีอันบ้าคลั่ง ประกายสีเขียวปรากฏ ณ ที่ใด ผู้คนต่างล้มลงดุจใบไม้ร่วง
ในสุสานบูราจารย์ เพลานี้กลับเจิงนองไปด้วยโลหิต มือกระบี่ มือดาบ เหล่าทหารร้อยกว่าคนต่าง
ถูกโค้วหย่งเทียน สยบจนสิ้นภายในเวลามิกี่อึดใจ สร้างความยากเชื่อถือแก่ผู้คน แต่ทั้งหมดกลับเกิด
ขึ้นแล้ว ด้วยฝีมือบุรุษโพกผ้าชุดเขียว โค้งหย่งเทียน
เมี่ยวสั่งเซินและสือเซินต่างมองดูด้วยความเหน็บหนาว คาดมิถึงบุรุษหนุ่มผู้นี้ จะสามารถเรียนรู้วิชา
ทั้งสองสายของสำนักหัวซานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังดูจะเหนือล้ำกว่าเล้งซุนคุ้งเจ้าสำนักหัวซาน ต้อง
ประเมินบุรุษหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ใหม่
" ช่างดีมากเล้งซุนคุ้ง สั่งสอนศิษย์ให้ทำร้ายเหล่าผู้อาวุโส ของสำนัก " เมี่ยวสั่งเซินยกเอากฏของ
สำนัก ขึ้นมากล่าว
" ถุย .. บิดาเจ้าเถอะ เมี่ยวสั่งเซิน พอเสียเปรียบก็ยกเอา กฏของสำนักมากล่าวอ้าง " เซียนเมาน้ำเต้า
แดงแผดเสียงด่าอย่างเหลืออด ซึ่งความจริงเซียนเมาน้ำเต้าแดงก็ส่งเสียงร้องด่าอยู่ตลอดเวลา พลัน
เจ้าสำนักหัวซานจึงเอ่ยขึ้น ว่า
" เมี่ยวสั่งเซิน คราก่อนเจ้ายกเอากฏของสำนัก ข้อที่ยี่สิบ วรรคสอง วงเล็บหนึ่ง ขึ้นมากล่าวอ้าง แต่
ตอนนี้เราเล้งซุนคุ้งจะขอยกเอากฏข้อที่ ยี่สิบ วรรคสอง วงเล็บสอง ขึ้นมากล่าวอ้างบ้าง เจ้าคงรู้ดี "
มังกรคะนองวารีคลั่ง ประกายปรากฏ ใครเล่าหาญต่อกร
ศึกสัประยุทธกระบี่หัวซาน 2
บนยอดเขาหัวซาน บัดนี้ได้มีเงาทมึน ของเมฆสีดำ เข้าบดบังรัศมีของ
ดวงสุรีย์ไว้จนสิ้น ทำให้บรรยากาศ การเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย ดูตรึงเครียด
ยิ่งขึ้น
กระบี่มังกรหัวซานเล้งซุนคุ้งและ กระบี่บรรพรตเมี่ยวสั่งเซิน ต่างผนึกสมาธิ
เร่งเร้าพลัง เข้ากดดันฝ่าย ผ่านไปชั่วครู่ พลังกดดันของเจ้าสำนักหัวซาน คล้าย
ตกเป็นรอง มุมปากของเมี่ยวสั่งเซินแสยะยิ้มขึ้น เมื่อตนมีเปรียบ
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ขบกรามแน่น เร้าพลังขึ้นอีกหลายส่วน จึงรักษา
สภาพก่ำกึ่ง พ้นจากพลังที่กดดันมา
การมาในครั้งนี้ เมี่ยวสั่งเซิน เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ห้าหกปีนี้ฝึกปรือพลังฝีมือ
อย่างหนัก ทั้งได้ยาเพิ่มพลังของนิกายฟ้าเอกกะ หนุนส่งจนบรรลุพลังปราณมังกร
แดงขั้นเจ็ด มีความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ด้วยยังมิเคยมีผู้ใดสำเร็จถึงขั้นนี้มาก่อน ยัง
เหนือล้ำกว่า ผู้เป็นอาจารย์ของตน ที่ฝึกสำเร็จเพียงขั้นที่หก นับว่ามีความสำเร็จ
ด้านพลังปราณรองจาก ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก ที่สำเร็จขั้นที่เก้า อันเป็นขั้นสูง
สุดพลังปราณมังกรแดง ของสำนักหัวซาน
พลันได้ยินเสียงเจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ตวาดขึ้นคำหนึ่ง มือกระบี่ต่ายกล
ทั้งเก้า เริ่มเคลื่อนไหวเป็นค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน เข้าโอบล้อมเมี่ยวสั่งเซิน
กระบี่มังกรหัวซานเล่งซุนคุ้ง เจ้าสำนักหัวซานหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น
" เมี่ยวสั่งเซิน ดูว่าเจ้าจะออกจากค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน ของปรมาจารย์อย่างไร "
เมี่ยวสั่งเซินยังคงยืนสงบนิ่ง ท่ามกลางค่ายกลกระบี่ที่หมุนวนรอบตัว เมื่อมา
แล้วแน่นอนว่า เมี่ยวสั่งเซินย่อมทราบความร้ายกาจ ของค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน
ได้ดี แต่เมี่ยวสั่งเซินมิใช่ชนชั้นธรรมดา หากมิมีข้อถือดี ย่อมต้องมิพาตนเองมา
ตกตายในค่ายกลเก้ากระบี่หัวซานนี้ แน่นอน
" เล้งซุนคุ้ง นับว่าเจ้าฝึกฝนค่ายกลเก้ากระบี่หัวซานได้ดียิ่ง " เมี่ยวสั่งเซินยังคง
กล่าวขึ้นด้วยท่าที
" จะยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังมิสาย " เล้งซุนคุ้งแค่นเสียงกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิ
"ฮ่า ฮ่า เราเมี่ยวสั่งเซิน ถ้ามิไม่มั่นใจย่อมไม่มา เมื่อมาแล้วย่อมจะมั่นใจ "
เมี่ยวสั่งเซินหัวร่อกล่าวขึ้น ราวกลับมีข้อถือดีมั่นใจ
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้งเมื่อได้ฟังวาจา ได้เห็นท่าที ที่ไร้ความกังวล ต่อ
ค่ายกลเก้ากระบี่หัวซานของปรมาจารย์ ต้องครุ่นคิดขึ้น หรือว่าเมี่ยวสั่งเซินจะมี
ไม้ตายอันใดซุกซ่อนไว้
ขณะนั้นเมี่ยวสั่งเซินพลันส่งเสียงเย็นชา ตวาดขึ้นต่อเก้ามือกระบี่ค่ายกล ที่
กำลังหมุนวน เคลื่อนไหวไปรอบกาย แผ่พลังกดดันคกคามครอบคลุมมา
" พวกเจ้าทั้งเก้า ใช่ศิษย์หัวซานหรือไม่ เหตุไฉนจึงละเมิดกฏของสำนัก "
" พวกเราย่อมเป็นศิษย์หัวซาน " มือกระบี่ค่ายกลทั้งเก้าคน กล่าวตอบขึ้น
พร้อมกันด้วยความฉงน
มิเพียงแต่มือกระบี่ค่ายกลทั้งเก้า ที่ฉงนต่อคำกล่าวของเมี่ยวสั่งเซิน เจ้าสำ
นักหัวซานเล่งซุนคุ้ง ยังอดแปลกใจสงสัยมิได้ แต่แล้วคิ้วของเจ้าสำนักหัวซาน
ก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหา เมื่อเดาช่องทางออก ว่าไฉนเมี่ยวสั่งเซิน จึงกล่าวเช่นนั้น
ขณะจะกล่าววาจาใด เมี่ยวสั่งเซินกลับชิงร้องกล่าว ออกมาก่อนว่า
" กฏของสำนักหัวซานข้อ ที่ยี่สิบ วรรคสอง วงเล็บหนึ่ง กล่าวไว้ว่า ห้ามมิ
ให้ผู้ด้อยอาวุโส ประทุษร้าย ผู้มีอาวุโสกว่าตน พวกเจ้าลืมแล้วหรือไร "
ทุกถ้อยคำของเมี่ยวสั่งเซิน ประดุจนักกฏหมายเอกแห่งรัฐผู้หนึ่งก็มิปาน เมื่อ
เหล่ามือกระบี่ค่ายกลทั้งเก้า ได้ฟังต่างสะดุ้งเฮือก หน้าเสียทันที ได้ยินเมี่ยวสั่ง
เซินกล่าวสำทับขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทีรวนเรของเหล่า มือกระบี่ค่ายกล
" หรือว่าพวกเจ้ามีอาวุโสกว่าเรา เมี่ยวสั่งเซิน ยังมิรีบสลายค่ายกลอีก "
มือกระบี่ทั้งเก้าต่างชะงักค่ายกล เห็นจริงตามคำกล่าวของเมี่ยวสั่งเซิน ฝ่าย
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง คิดมิถึงว่าเมี่ยวสั่งเซินจะมาไม้นี้ จำต้องขบกรามแน่น
ตนอุตส่าห์ฝึกฝน เคี่ยวกรำมือกระบี่ทั้งเก้า จนสามารถเปล่งอานุภาพถึงขีดสุด มา
ด้วยความยากลำบาก หวังใช้จัดการต่อเมี่ยวสั่งเซิน มิคาดตนจะลงทุนลงแรงศูนย์
เปล่า มาตกม้าตายด้วยกฏของสำนัก จึงแค่นเสียงร้องกล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาล
" เฮอะ พวกเจ้าจงตั้งค่ายกลไว้ เมี่ยวสั่งเซินชักนำนิกายฟ้าเอกกะ
เข้ามาก่อกวนสำนักเรา "
มือกระบี่ค่ายกลทั้งเก้า บังเกิดความลังเลขึ้น ทางหนึ่งเป็นเจ้าสำนัก ทางหนึ่ง
เป็นกฏระเบียบอันสูงส่งของสำนัก ชั่วขณะจึงชะงักงัน ยากจะทำประการใด
" ฮ่า ฮ่า เล้งซุนคุ้ง คำสองคำก็กล่าวหา ว่าเราชักนำนิกายฟ้าเอกกะ
เจ้ามีหลักฐานอันใด หรือว่าเจ้าเคยเห็นคนนิกายฟ้าเอกกะ " เมี่ยวสั่งเซินหัวร่อ
เย้ยหยันกล่าวขึ้น ราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันชวนหัว
เจ้าสำนักหังซานเล้งซุนคุ้งลอบตระหนก ด้วยตนมิเคยประจักษ์คนของนิกาย
ฟ้าเอกกะ อย่างชัดเจน เนื่องจากนิกายฟ้าเอกกะ เป็นนิกายลึกลับไร้ร่องรอย อีก
ทั้งหากแม้นว่าตนยืนกราน แต่จะเอาหลักฐานอันใด หยิบยกขึ้นกล่าวอ้าง
เมื่อเมี่ยวสั่งเซิน ยกเรื่องหลักฐาน ใบหน้าของเจ้าสำนักหัวซานต้องแดงก่ำ ด้วย
ข้อเท็จจริง และข้อกฏระเบียบของสำนักล้วนครบครัน สิ่งที่ทำได้คือปั้นหน้าเอา
โทสะมากลบเกลื่อน แล้วร่ำร้องตวาดออกไป
" แล้วคนชุดดำเหล่านี้เป็นใคร ติดตามเจ้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด "
"ฮ่า ฮ่า เล้งซุนคุ้งหากมิหลักฐาน ก็อย่าได้ปั้นหน้า
กล่าวความเท็จ ให้อับอายผู้คนไป "
เมี่ยวสั่งเซิน หัวร่อกล่าวขึ้นอย่างผู้มีชัย หัวหน้าคนชุดดำผู้หนึ่ง เมื่อถูกพาดพิง
จึงใช้สิทธิกล่าวขึ้นบ้างว่า
" พวกเราเป็นคนพรรคทรายดำ เลื่อมใสท่าน เมี่ยวมานาน
ขึ้นเขามาเป็นประจักษ์พยาน หาความชอบธรรมเท่านั้น
ท่านเจ้าสำนักเล้ง คงไม่ใจแคบดอกกระมัง"
" เล้งซุนคุ้ง วันนี้ไม่เจ้าก็เราเมี่ยวสั่งเซิน ต้องตายไปข้างหนึ่ง " กล่าวจบก็
หันประจันหน้าจับจ้อง เล้งซุนคุ้งเจ้าสำนักหัวซาน
" เมี่ยวสั่งเซิน อย่าได้ลำพองไป ขุนพลพ่ายศึกใต้คมกระบี่เมื่อห้าปีก่อน
กลับกล้ากล่าววาจาเขื่องโข " เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง รื้อฟื้นอดีตถึงความ
ปราชัย ของอีกฝ่ายขึ้น
ได้ยินเมี่ยวสั่งเซินแค่นเสียงดัง เฮอะ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครานั้น ที่ทั้งคู่
ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ซึ่งเดิมทีตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นของฝ่ายหัวซานเหนือ คือ
กระบี่มังกรสิบทิศเฉินเจิน ผู้เป็นอาจารย์ ของเมี่ยวสั่งเซินเป็นเจ้าสำนัก เมื่อสิ้น
กระบี่มังกรสิบทิศเฉินเจิน เมี่ยวสั่งเซินศิษย์คนโต ย่อมเป็นว่าที่เจ้าสำนักหัวซาน
คนต่อไป
แต่ในวันเข้ารับตำแหน่ง มิคาดกระบี่มังกรหัวซานเล้งซุนคุ้ง กลับนำพาคนของ
ราชสำนัก เข้ารายล้อมบรรดาศิษย์ในสำนัก บีบบังคับให้เมี่ยวสั่งเซินสละตำแหน่ง
ทั้งยังท้าประลองช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
เมี่ยวสั่งเซินย่อมจดจำได้ดี แม้กระบี่ของเล้งซุนคุ้งจะร้ายกาจปานใด แต่ตน
ก็ต้านอยู่ด้วยพลังปราณมังกรแดงขั้นสาม แม้เพลงกระบี่ของเล้งซุนคุ้ง ยิ่งมายิ่ง
พริ้วไหวพลิกแพลง ผิดกลับตนที่กระบวนท่าเริ่มเชื่องช้าลง ถึงแม้ว่าจะเร่งเร้า
ขับพลังปราณมังกรแดงขั้นสี่จนสุดตัว แต่มิก็มิอาจเอาชัยต่อเล้งซุนคุ้งได้ พลัง
ลมปราณที่เคยกร้าวแกร่งสมบูรณ์ พลันติดขัดอ่อนด้อยลงอย่างมิรู้สาเหตุ ต่อเมื่อ
นึกถึงสุราจอกนั้นที่ตนดื่มก่อนการประลอง ต้องตื่นตระหนก รู้ตัวว่าตนพลาดท่า
เสียทีพ่ายแพ้ต่อเล้งซุนคุ้งแล้ว ความแค้นครั้งนั้นแม้ตายเมี่ยวสั่งเซินหาอาจลืม
เลือนได้
ตอนนั้นหากแม้นตนจะกล่าวว่าสุราจอกนั้นมีปัญหา แต่จะมีผู้ใดเล่าที่ยินยอม
เชื่อคนที่พ่ายแพ้ เมื่อผลการประมือได้ปรากฏชัดเจนเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าเล้งซุน
คุ้ง ต้องเรียกร้องหาหลักฐาน ในสุราย่อมมิมียาพิษ แต่กลับมีส่วนผสมของ สมุร
ไพรชนิดหนึ่ง ที่ขัดต่อโรคประจำตัวของตน แต่มิมีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้ นอกจาก
เล้งซุนคุ้ง สหายสนิทของตน เมื่อคราขึ้นเขามาเป็นศิษย์หัวซานมาพร้อมกัน
ต่อมาเกิดหลงรักสตรีนางเดียวกัน อันเป็นเหตุให้ทั้งคู่ หมางใจกัน คอยชิงดีชิง
เด่น ด้วยมุ่งหวังที่จะเป็นหนึ่งในใจนาง ยิ่งนางได้กล่าวไว้ว่า จะปลงใจกับผู้ที่เป็น
เจ้าสำนักหัวซานเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้นางได้จากไปเนิ่นนานแล้ว แต่คนทั้งสอง
ก็ยังคงชิงดีชิงเด่นกันเรื่อยมา โดยหารู้ไม่ว่า ทั้งสองคนต่างถูกสตรีนางหนึ่ง ปั่น
หัว เพียงเพื่อความสนุกของนางเท่านั้น
ความจริงในใจของสตรีนางนัั้น คนทั้งสองกลับมิเคยล่วงรู้เลย ว่าพวกตนมิได้
มีความหมายอันใด แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียว นี่นับเป็นโศรกนาฎกรรมของชีวิต
โดยแท้ หากแม้นทั้งคู่ล่วงรู้ความจริงในข้อนี้ ย่อมต้องคลั่งใจตายเป็นแน่แท้ คง
ต้องมิเสียสหายรัก จนกลายกลับเป็นศัตรูคู่แค้น ดั่งเช่นทุกวันนี้
แน่นอนว่าเมี่ยวสั่งเซินและเล้งซุนคุ้งทั้งสองย่อมมิอาจจะ ล่วงรู้ความจริงนี้
ตลอดไป เพราะความลับนี้ ได้ตายไปจากโลกนี้พร้อมกับนางแล้ว
เมื่อวาจาใดที่ควรจะกล่าวก็กล่าวออกไปจนสิ้นแล้ว การต่อสู้ของเจ้าสำนัก
เล้งซุนคุ้ง กับเมี่ยวสั่งเซินจึงได้เริ่มขึ้น คนทั้งสองเปรียบประดุจพยัคฆ์ร้ายสองตัว
ที่มิอาจจะอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันได้
เล้งซุนคุ้งยามนี้เหมือนลูกธนูที่ถูกเงื้อไปสุดหล้า เมื่อโทสะเข้าครอบงำ ความ
อดทนสิ้นสุดลง จึงประดุจลูกธนูที่ออกจากแหล่ง อย่างรวดเร็ว เสียงชักกระบี่่ดังขึ้น
พร้อมเงากระบี่ ที่หนาแน่น ครอบคลุมเข้าหาเมี่ยวสั่งเซิน ที่บัดนี้ร่ายรำกระบี่ เตรียม
รับการจู่โจม เมื่อปลายกระบี่่ประทะกัน ก่อเกิดเป็นประกายไฟ ระยิบระยับ ความรวด
เร็วสูงส่งของท่าร่าง แทบมิอาจบรรยาย แทบมองมิเห็นร่างคนทั้งสอง
ตั้งแต่คราแรกจนถึงบัดนี้ เล้งซุนคุ้งยังเป็นฝ่ายรุกไล่เมี่ยวสั่งเซิน สมกับเป็นเจ้า
สำนักหัวซานอย่างเต็มภาคภูมิ
แต่เมี่ยวสั่งเซินมิใช่ชนชั้นธรรมดา มิเช่นนั้นคงตกตาย ภายใต้เพลงกระบี่ที่่
พริ้วไหวลึกล้ำของเล้งซุนคุ้งเนิ่นนานแล้ว แม้จะเป็นฝ่ายรับ แต่กระนั้นเล้งซุนคุ้ง
ยังคงมิอาจจะเอาชัยได้
พลันเมี่ยวสั่งเซิน ร้องตวาดขึ้นคำหนึ่ง ขับพลังปราณขั้นห้าจนปรากฏเป็นมังกร
สีแดงขนาดใหญ่ห้าตัว แยกเขี้ยวกางเล็บโผพุ่งเข้าหา ม่านกระบี่ที่บัดนี้แปรเปลี่ยน
สภาพเป็นตาข่ายฟ้าของเล้งซุนคุ้ง
ฝ่ายเล้งซุนคุ้งเมื่อเห็นมังกรแดงทั้งห้า โผพุ่งแหวกตาข่ายฟ้าของตนมา จึงรีบ
ผนึกลมปราณทั่วร่าง เร่งเร้าเข้าสู่ปลายกระบี่ จนเกิดเป็นรังสีกระบี่อันเจิดจ้า
เหล่าผู้คนต่างลุ้นระทึก ทั้งตื่นตระหนกกับสุดยอดวิชาของสำนักหัวซาน ขณะ
เดียวกันพลันมีกลุ่มคนอีกกลุ่มใหญ่ มิทราบว่าโผล่มาจากที่ใด เข้ามาโอบล้อม
บรรดาผู้คนบนลานยอดเขาหัวซาน คนกลุ่มนี้แต่งกายมิคล้ายชาวยุทธ แต่ล้วน
แต่งกายด้วยชุดทหาร มีอาวุธครบมือทั้งสิ้น
" ห้าปีก่อนเป็นเช่นไร วันนี้ยังเป็นเช่นนั้น เล้งซุนคุ้งเจ้ามิละอายใจบ้างหรือไร "
เสียงของเมี่ยวสั่งเซิน ร้องตวาดออกมา เมื่อเห็นบรรดาทหารรายล้อมพวกพ้อง
ของตน
ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะดัง หึหึ ในลำคอของเจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ฉวย
โอกาสตอนที่เมี่ยวสั่งเซินเสียสมาธิ พลางเร่งเร้าพลังและ กระบวนท่ากระบี่อันล้ำ
ลึก ขั้นสูงสุดของตน รังสีกระบี่สีขาวแปรเปลี่ยน กลายเป็นสายรุ้งกระบี่เจ็ดสีอันสวย
งาม ท่ามกลางความสวยงาม แต่กลับแฝงความเย็นยะเยียบเหน็บหนาว น่าหวาด
หวั่นแก่เหล่าผู้คน พุ่งเข้าหาลำคอของมังกรแดงทั้งห้า เห็นแน่ชัดว่าคอมังกรแดง
ทั้งห้า คงต้องขาดกระเด็นไป
ทุกผู้คนต่างคาดไม่ถึงว่า เจ้าสำนักหัวซานจะสามารถฝึก เจ็ดกระบี่หัวซานขั้น
สุดยอดได้สำเร็จ นับว่าเกินความคาดหมายของเมี่ยวสั่งเซิน
แต่อย่างไรเมี่ยวสั่งเซินยังยังคงเป็นเมี่ยวสั่งเซิน เร้าพลังปราณขั้นเจ็ดร้องตวาดขึ้น
" มหาพญามังกรแดงเจ็ดเศียร "
พอสิ้นเสียง มังกรแดงทั้งห้าพลันสลาย กลายกลับปรากฏขึ้นเป็นพญามังกรแดง
ขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งมีเจ็ดหัว แยกเขี้ยวกางเล็บตรงเข้าตะปบใส่สายรุ้งกระบี่จน
แหลกลาน พลังปราณมังแดงยังคงมิสิ้นสุด กระแทกเอาเจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง
เซถอยหลังไปสามก้าว เท้าจมลึกลงในพื้นดิน ค่อยหยุดยั้งร่างเอาไว้ได้ ฝ่ายเมี่ยว
สั่งเซินเพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าว หยัดยืนด้วยท่าทีเคร่งเครียด มิได้รับบาดเจ็บแต่
ประการใด นับว่าปรากฏผลแพ้ชนะขึ้นแล้ว
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้งยังคงยืน ขบกรามขมวดคิ้วแน่น โลหิตไหลย้อยมา
จากมุมปาก ทราบว่าตนได้รับบาดเจ็บสาหัสภายในมิน้อย สายตาจับจ้องมองไปยัง
เมี่ยวสั่งเซิน และ หัวหน้าทหารผู้หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า
" ท่านสือเซิงเหตุใด ... "
เจ้าสำนักเล้งซุนคุ้งพอเปล่งวาจาขึ้น ต้องกระอักโลหิตออกมากองโต หัวหน้า
นายทหารนามสือเซิงก้าวออกมา มองเล้งซุนคุ้งด้วยสายตา เหยียดหยาม แล้วกล่าว
ขึ้นว่า
" เล้งซุนคุ้งท่านคง สงสัยเหตุไรเราถึงมิช่วยท่าน กระมัง "
เล้งซุนคุ้งยังคงขมวดคิ้วรับฟัง ทางหนึ่งเดินลมปราณรักษาตัว เห็นมุมปากของ
เมี่ยวสั่งเซิน ปรากฏรอยยิ้มลี้ลับขึ้น ทั้งยังดูมิประหลาดใจ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของ
หัวนายหน้าทหาร ได้ยินหัวหน้านายทหารนามสือเซิง กล่าวสืบไปว่า
" เดิมทีท่านนัดแนะกับเราว่า พอเมี่ยวสั่งเซินลงมือให้เราท่าน เหล่าทหาร
กลุ้มรุมสังหารเมี่ยวสั่งเซิน ขึ้นพร้อมกัน แต่สถานะการณ์ได้เปลี่ยนไป ท่าน
หมดประโยชน์ ต่อป้อมสุริยันของพวกเราแล้ว ฉะนั้นจะมิจำเป็นต้องเปลือง
มือเท้า ช่วยคนไร้ประโยชน์ "
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้งแทบจะมิเชื่อหูตนเองว่า ราชสำนักที่ตนชักนำมาและ
ยึดถือทำงานให้ด้วยดีเสมอมา จะมาหักหลังเขี่ยตนทิ้ง ง่ายดายถึงเพียงนี้ เมื่อห้าปี
ก่อนก็เป็นป้อมสุริยัน ของราชสำนักนี้ที่มาช่วยตน ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนักหัวซาน
และในครั้งนั้นก็เป็นสือเซิงที่นำกำลังทหารมา บีบบังคับ จนเมี่ยวสั่งเซินเตลิดหนีหาย
ไป แต่สถานะการณ์ตอนนี้ กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
" เล้งซุนคุ้ง เจ้าคงจะรับรู้ความอัปยศของเราเมี่ยวสั่งเซิน ในครั้งนั้นแล้วกระมัง
ว่ารสชาติมันยากจะบรรยายเพียงใด ฮ่าฮ่า " เมี่ยวสั่งเซินแค่นเสียงหัวเราะกล่าวขึ้น
อย่างสมใจ
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ถึงกลับต้องกระอักโลหิตออก
มา ด้วยความเดือดดาล ร้องสั่งให้มือกระบี่ทั้งเก้า ตั้งค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน หมาย
ล้างความอัปยศ แต่ไหนเลยมือกระบี่่ทั้งเก้าที่ตนฝึกฝนมา จะทำตามคำสั่ง กลับยืน
นิ่งเฉย ราวกับมิเห็นคำสั่ง ของเจ้าสำนักเช่นตนอยู่ในสายตา จึงได้แต่ตกตะลึงคั่ง
แค้นเดือดดาล กระอักโลหิตออกมาอีกรอบ
" หรือว่าพวกเจ้าก็หักหลังข้า " เล้งซุนคุ้งขมวดคิ้วกล่าว จ้องไปยังมือกระบี่ทั้งเก้า
ที่มีท่าทีเฉยชา
" เล้งซุนคุ้ง พวกมันมิสนใจฟังคำสั่งของเจ้าหรอก " เมี่ยวสั่งเซินกล่าวขึ้น
ขณะที่เล้งซุนคุ้งจะเอ่ยปากถามว่าเพราะเหตุใด สือเซิงหัวหน้าเหล่าทหารก็กล่าวขึ้น
" เพราะว่ามือกระบี่ทั้งเก้า พวกมันเป็นคนของป้อมสุริยัน และเป็นก่อนที่
จะมาอยู่ที่หััวซาน " สือเซิงหยุดนิดหนึ่ง ยิ้มเยาะแล้วกล่าวสืบไปว่า่
" ต้องขอบใจเจ้า ที่ฝึกฝนจนพวกมัน ฝึกค่ายกลอันร้ายกาจของสำนักหัวซานสำเร็จ"
ทุกถ้อยคำวาจาที่กล่าวประดุจดั่งเข็มหมื่นเล่มมาทิ่มแทงหัวใจของ เล้งซุนคุ้ง
คนของราชสำนักเข้ามายึดครองหัวซาน จนเกือบหมดโดยที่ตนมิล่วงรู้ รากฐานของ
สำนักนับร้อยปี ต้องมาพังทลายลงเพราะความอิจฉาริษยา ความละโมบโลภมาก ใน
ลาภยศ ความเห็นแก่ตัวของตน ได้ชักนำเภทภัยมาสู่สำนักหัวซาน ละอายต่อบูรพา
จารย์ การรับใช้ราชสำนักช่างเสมือนการเล่นกับไฟ มิมีมิตรมีศัตรูในผลประโยชน์
เมื่อไร้สิ้นคุณค่า ย่อมถูกเขี่ยทิ้งดั่งเศษสวะผงธุลี
โอ้ไฟอันร้อนแรงในที่สุดก็วกมาเผาตน อย่างน่า
อนาถ เล้งซุนคุ้งเพิ่งสำนึกเสียใจ ก็ต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว
........................................................................................................................
" เมื่อหัวใจนั้น ตั้งไว้ด้วยความหวัง
หัวใจนั้นจะสร้างความหวังอันเจิดจ้า
และทุกๆคราที่มุ่งหวัง
ความผิดหวังนั้น มักจะรออยู่ "
พลันเสียงขับขานบทกวีบทหนึ่งดังขึ้น ผู้คนบนลานยอดเขาหัวซาน ได้ยินถึง
กลับตื่นตระหนก ต่อเสียงอันดังกังวาลเปี่ยมด้วยพลังวัตรอันลึกล้ำ ของผู้ขับขาน
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ที่ถูกบรรดาผู้คนที่แปรพักต์จากตน และเหล่าทหาร
ห้อมล้อมเข้ามา ขณะทอดอาลัย จึงคิดจะปลิดชีพตัวเอง ด้วยละอายต่อเหล่าบรูพา
จารย์ และมิคิดตกตายภายใต้ฝีมือของคนเหล่านี้ ฝ่ามือที่ยกเตรียมฟาดลงบนศรีษะ
ตนเองนั้น ต้องชงักค้าง
บนลานยอดเขาหัวซาน ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย กลับมิทราบว่าเสียง
ดังมาจาก ทางทิศใดได้แต่มองตากัน ท่านมองเรา เรามองท่าน แม้คบไฟที่จุดจะ
สว่างไสวดุจกลางวัน ก็มิอาจส่องพบผู้ต้องสงสัย เมี่ยวสั่งเซิน จึงร้องกล่าวออกไปว่า
" ผู้ใด เมื่อมาแล้วไยมิปรากฏตัว "
พลันมีซุ่มเสียงคนลึกลับดังขึ้นจากกลุ่มหัวซานเหนือ
" เมื่อมาแล้ว ไยต้องปรากฏตัว "
กลุ่มหัวซานเหนือต่างแตกตื่น มองรอบกายก็มิพบผู้แปลกปลอมเข้ามา สือเซิง
หัวหน้านายทหารเหลียวมอง ไปรอบๆแล้วแค่นเสียงร้องตวาดขึ้น
" คนจริงย่อมมิหลบซ่อน จงไสหัวออกมา "
" คนจริงเป็นเช่นไร คนมิจริงเป็นเช่นใด หรือ? " เสียงของคนลึกลับ ดังขึ้นจาก
กลุ่มมือกระบี่ทั้งเก้า ที่ล้วนเป็นมือกระบี่อันสูงเยี่ยม แต่กลับมิรู้ตัวว่ามีบุคคลเข้าใกล้
พวกตน ต่างตื่นตระหนก
เมี่ยวสั่งเซินจึงร้องกล่าวขึ้นว่า
" หรือว่าท่านมา ด้วยเรื่องของเล้งซุนคุ้ง "
" ถูกแล้ว ท่านยอมปล่อยเจ้าสำนักหัวซานหรือไม่ " เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
ของพรรคทรายดำ คนสำนักทรายดำต่างสะดุ้งตกใจ กระโดดไปคนละทิศทาง ด้วย
ความตื่นตระหนกหวาดผวา
" หากแม้นท่านปรากฏตัว เราย่อมตกลงกันได้ " สือเซิงหัวหน้าทหารร้องกล่าวขึ้น
" ข้าพเจ้าเล้งซุนคุ้งเป็นคนบาปของสำนัก ขอบคุณในน้ำใจท่านผู้อาวุโส
ขอท่านอย่าได้เกลือกกลั้ว กับปลักหล่มนี้เลย "
เล้งซุนคุ้งกล่าวขึ้นด้วยความทราบซึ้ง ทั้งห่วงใยต่อผู้มา ด้วยว่าตนตัดสินใจจะจบ
ชีวิตตนเองชดใช้ความผิดหนีความละอาย จึงมิอยากให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย
" เจ้าสำนักเล้ง ย่อมปลักหล่มนี้เป็นข้าพเจ้าเองที่ลงไป "
เสียงดังขึ้นจากทางเบื้องบนอากาศ พอสิ้นเสียง คบไฟในมือเหล่าผู้ที่รายล้อม
ที่อยู่บนลานยอดเขาหัวซานทั้งหมด พลันดับมืดลง
เหล่าผู้คนร้องอุทาน ปั่นป่วนรวนเร บนลานยอดเขามืดดำไปทั่ว มองมิเห็นสิ่งไร
หัวหน้านายทหารสือเซิง หมายชักกระบี่สังหาร เล้งซุนคุ้ง เพราะถ้าหากคนลึกลับ
ช่วยเล้งซุนคุ้งได้สำเร็จ ตนคงต้องเสื่อมเสียหน้า ทั้งอาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของ
ตน เสื่อมเสียชื่อเสียงป้อมสุริยันของราชสำนัก แต่เพิ่งชักกระบี่ กลับรู้สึกว่ามีคนผู้
หนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จึงเสือกกระบี่แทง พลันได้ยินเสียงดังมาอย่างร้อนรน
ขวัญผวา ว่า
" ท่านสือ เป็นข้าพเจ้าติงต่ง เอง " ที่แท้ร่างที่พุ่งมานั้น เป็นหัวหน้าพรรคทรายดำ
ติงต่ง
กระบี่เมื่อแทงออกมิอาจหวนคืน แต่หัวหน้านายทหารสือเซิง มิใช่ชนชั้นมือกระบี่
ธรรมดา เหนี่ยวรั้งกระบี่ โคจรพลังชักนำกระบี่ให้เบนไป แต่กระนั้นยังเฉือนเนื้อหัว
ไหล่ หัวหน้าพรรคทรายดำไปป้านหนึ่ง ได้ยินเสียง ติงต่งร้องคร่ำครวญ พร้อมทั้ง
กล่าวขึ้นว่า
" ขอบคุณท่านสือที่ยั้งมือ มีคนลอบถีบข้าพเจ้าเข้ามาหาท่าน " กล่าวจบก็
กุมหัวไหล่ร้องโอดโอย
ฝ่ายเมี่ยวสั่งเซิน พอสิ้นเสียงคนลึกลับ และไฟมืดดับลง กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่ง
เข้าหาตนอย่างเร่งร้อน จึงร้องตวาดขึ้นพร้อมฟาดฝ่ามือด้วยพลังปราณมังกรแดงขั้น
สี่สวนไป
" เฮอะ อาศัยความมืดลอบจู่โจม รนหาที่ตาย "
ฝ่ามือโดนหน้าอกอย่างหนักหน่วง ได้ยินเสียงกระดูก ซี่โครงหักดังสนั่น พร้อม
ทั้งเสียงโครม เมื่อร่างนั้นกระเด็นไปชนต้นไม้ใหญ่ แล้วฟุบลงกับพื้นแน่นิ่งไป เมี่ยว
สั่งเซินหัวเราะอย่างลำพอง เมื่อตนลงมือ สยบคนลึกลับเป็นผลสำเร็จ คาดว่าคนลึก
ลับคงจบชีวิตภายใต้ฝ่ามือของตน จึงร้องสั่งให้ผู้คน ให้จุดไฟขึ้น หมายจะดูโฉม
หน้าคนลึกลับยามราตรีผู้นี้
เมื่่อคบไฟถูกจุดขึ้น ทั่วทุกแห่งก็สว่างไสวดุจกลางวันเช่นเดิม เมี่ยวสั่งเซินและ
ทุกผู้คน เมื่อเห็นร่างที่แน่นิ่งจมกองโลหิต ต้องตื่นตระหนก อุทานขึ้นแทบพร้อมกัน
" ไฉนเป็นเสี่ยวซา "
ร่างที่เมี่ยวสั่งเซินคาดคิดว่าเป็นคนลึกลับ กลับกลายเป็นเสี่ยวซา ศิษย์หัวซาน
เหนือ จึงทำให้ตื่นตระหนก และที่ยิ่งตื่นตระหนกขึ้นไปอีก จนกลายเป็นหน็บหนาว
บนลานยอดเขาสำนักหัวซานขณะนี้กลับปราศจากคนผู้หนึ่ง และคนผู้นั้นก็คือเจ้า
สำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง สร้างความแตกตื่นแก่ทุกผู้คน ไฉนเล้งซุนคุ้งจึงหายไป แล้ว
หายไปได้อย่าง ?
ณ ถ้ำสุสานบรูพาจารย์ สำนักหัวซาน แสงจากคบไฟส่องให้เห็น ควันธูปเทียน
ที่ป้ายบรูพาจารย์ แสงไฟนี้เองทำให้เจ้าสำนักเล้งซุนคุ้ง ซึ่งอยู่ในสภาพ ทุลักทุเล
เห็นใบหน้าคนลึกลับที่ช่วยตน กลับต้องแปลกใจ ด้วยคนลึกลับนั้นมิใช่มีเพียงหนึ่ง
แต่กลับมีถึงสามคน สองในสามคนเป็นผู้ที่ตนรู้จักดี คือกระบี่หัวซานเตียวทูฟงและ
เซียนเมาน้ำเต้าแดงจิวตงเซียน อีกผู้หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มผิวสีหมึก โพกผ้าเขียวมิคุ้น
หน้า คาดว่าคงเป็นศิษย์ของคนใดคนหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งกระอักโลหิต ออกมา
กองโต
" เตียวทูฟง จิวตงเซียน เป็นพวกท่านช่วยข้าพเจ้าไว้ ยังมีท่านผู้กล้าน้อยด้วย "
เตียวทูฟง เซียนเมาน้ำเต้าแดง เทียนหย่ง หรือโค้วหย่งเทียน ผงกศรีษะพร้อม
ส่งสายตาด้วยความเห็นใจ ต่อโชคชะตาของเจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ที่ต้องสูญเสีย
ทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตตอนนี้ ก็ยากจะบอกได้ อวัยวะภายในแหลกเหลวยากจะเยียว
ยา เว้นแต่จะมีเทพโอสถมาปรากฏกายที่นี่เท่านั้น แต่ที่นี้ไฉนจะมีเทพโอสถเล่า นอก
เสียจากจะมีปาฏิหาริย์
" ท่านเจ้าสำนักเป็นเช่นใด " คนทั้งสามกล่าวขึ้นด้วยความห่วงใย โค้วหย่งเทียน
มิรอช้ารีบทาบฝ่ามือถ่ายเท พลัง ที่ด้านหลังของเจ้าสำนักหัวซาน
" ขอบพระคุณผู้กล้าหาญน้อย ท่านคงเป็นศิษย์ของเตียวทูฟง หรือจิวตงซานกระมั่ง "
เ้จ้าสำนักหัวซานกล่าว ขึ้นอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากมีสีหน้าดีขึ้น ในใจชื่นชมบุรุษ
หนุ่มผิวสีหมึกชุดเขียว
" หามิได้ท่านเจ้าสำนัก ข้าพเจ้ามิปัญญา และอาจเอื้อมจะถ่ายทอดสิ่งใด
ให้ท่านผู้ตรวจการสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม เทียนหย่ง ท่านนี้ได้ "
เซียนเมาน้ำเต้าแดงกล่าวขึ้น พร้อมกับกระดกสุราในน้ำเตาแดง
" ข้าพเจ้าก็เช่นกัน มิอาจเอื้อม ตรงกันข้าม ต้องให้ผู้ตรวจการ เทียนหย่ง
สอนสั่งข้าพเจ้าให้มาก จึงจะนับว่าถูกต้อง " เตียวทูฟงกล่าวขึ้น
" ที่แท้คือ ผู้ตรวจการสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม นับเป็นวาสนาข้าพเจ้าแล้ว "
เล้งซุนคุ้ง กล่าวขึ้นอย่างเหนื่อยหอบ ทั้ง กระอักโลหิตออกมาอีกครา
" ผู้อาวุโสทุกท่าน กล่าวหนักไปแล้ว ข้าพเจ้า เทียนหย่ง ละอายใจยิ่ง "
โค้วหย่งเทียนกล่าวขึ้น
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง หันไปกล่าวกับเตียวทูฟงและเซียนเมาน้ำเต้าแดงว่า
" เพราะความเลอะเลือน ของข้าพเจ้าแท้ๆ จึงทำให้สำนักต้องถูกครอบงำ
จากราชสำนัก รากฐานถูกทำลายในมือของข้าพเจ้า "
" ศิษย์พี่เจ้าสำนัก มีผู้ใดบ้างมิเคยพลาดพลั้ง หลงผิด " เตียวทูฟงกล่าวขึ้น
หยุดนิดหนึ่ง ถอนใจแล้วกล่าว
" ข้าพเจ้าเองก็เคยหลงเดินทางผิด เป็นโจรร้ายอยู่หลายปี คิดมายิ่งละอาย
โชคดีได้ท่านประมุขและท่าน หลวงจีนชราสอนสั่ง จึงกลับใจ ออกจากที่
มืดเข้าสู่ที่สว่างได้ "
เมื่อเจ้าสำนักเล้งซุนคุ้ง ได้ฟังประสบการณ์ชีวิตของศิษย์น้อง ก็คลายความ
เศร้าหมองมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง แต่แล้วกลับทอดถอนใจ กล่าวขึ้นว่า
" ศิษย์น้องเตียว หากข้าพเจ้า มิขับท่านออกจากสำนัก ท่านคงมิมีสภาพ
เช่นนั้น ข้าพเจ้าผิดต่อท่านนัก "
" ศิษย์พี่เจ้าสำนัก อย่าได้กล่าวถึงอีก ปล่อยให้มันผ่านเป็นดังความฝันเถิด
อีกทั้งชีวิต ของแต่ละผู้คนย่อมมีหนทางไป เป็นของตัวเอง " เตียวทูฟงกล่าว
ขึ้นอย่างผู้รู้ซึ้งในชีวิต
ฝ่ายเซียนเมาน้ำเต้่าแดง จิวตงเซียนจึงเอ่ยขึ้นบ้าง ว่า
" ข้าพเจ้าก็เช่นกัน เคยพลาดพลั้ง ยามมึนเมา เขาวังหลวงขโมยกินอาหาร
ของฮ่องเต้ สร้างความวุ่นวายแก่วังหลวง บางครั้งยามมึนเมานอนคลุกฝุ่น
ดินโคลน บางทีก็จมอยู่ในเหล้าหมูสองสามเดือน อุจจาระหมูเปื้อนทั่วกาย
โดยมิรู้ตัวก็มี อิอิ "
เมื่อเซียนเมาน้ำเต้าแดงจิวตงเซียน สาธยายชีวิตอันโลดโผนพิศดารของตน
จบลง ทุกคนต่างพากันหัวเราะขึ้น ถึงกลับลืมเลือนสถานการณ์อันตรึงเครียดไป
กล่าวย้อนไปเมื่อ โค้วหย่งเทียน เตียวทูฟง เซียนเมาน้ำเต้าแดง ขึ้นเขาหัวซาน
ได้พบคนกลุ่มหนึ่งอยู่เบื้องหน้าตน จึงลอบติดตามอยู่เบื้องหลัง จนถึงลานยอดเขา
หัวซาน ทั้งลอบดูเหตุการณ์ต่างๆ ครั้นเมื่อสบโอกาส ก็ลงมือช่วยเหลือเจ้าสำนักเล้ง
ซุนคุ้งออกมา โดยโค้วหย่งเทียนใช้วิชาตัวเบาขั้นสุดยอด ล่อหลอกจนปั่นป่วน จาก
นั้นจึงช่วยกันดับคบไฟ จนมืดมิดช่วยเหลือคนออกมา
เซียนเมาน้ำเต้าแดงลอบถีบหัวหน้าพรรคทรายดำ ติงต่ง เตียวทูฟง สยบจี้สกัด
จุดศิษย์หัวซานเหนือผู้หนึ่ง เหวี่ยงร่างเข้าหาเมี่ยวสั่งเซิน โค้วหย่งเทียนช่วยเจ้าสำนัก
หัวซานเล้งซุนคุ้งออกมา ทุกสิ่งล้วนกระทำขึ้นอย่างลงตัว ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วมุ่ง
สู่สุสานบูรพาจารย์หัวซาน ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของยอดเขา
พลันเตียวทูฟง สังเกตุเห็นใบหน้าของ โค้วหย่งเทียนผิดปกติขึ้น
" ท่านผู้อาวุโส เบื้องนอก มีฝีเท้าผู้คนจำนวนมากมุ่งตรงมาด้านนี้ "โค้วหย่งเทียน
กล่าว
ทุกผู้คนต่างพานึกฉงนประหลาดใจ เนื่องจากพวกตนมิได้ยินซุ่มเสียงฝีเท้าอันใด
บุรูษหนุ่มผู้นี้ไฉนกลับได้ยิน เล้งซุนคุ้งครุ่นคิดขึ้น พลังฝึกฝีมือของบุรุษหนุ่มผู้นี้ช่าง
ล้ำลึกนัก มีเพียงเตียวทูฟงที่มิประหลาดใจ ด้วยรู้ว่าประมุขของตนมีพลังฝึกพรือ อัน
ลึกล้ำเหนือผู้คนเพียงใด จึงกล่าวขึ้นว่า
" น่ากลัวเมี่ยวสั่งเซินและพวกติดตามมาแล้ว "
" หรือว่าพวกนั้นติดตามรอยเลือด ของข้าพเจ้ามา " เจ้าสำนักหัวซานกล่าวขึ้น
" เป็นไปได้ยิ่ง พวกเราคงมิอาจหลบหนีได้ทัน " เซียนเมาน้ำเต้าแดงกล่าวขึ้น
ใบหน้าตระหนก
สถานการณ์ความตรึงเครียดกลับมาอีกครั้ง ด้วยทุกผู้ต่างได้เห็น พลังปราณมัง
กรแดงขั้นเจ็ด อันร้ายกาจของเมี่ยวสั่งเซิน เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้งและศิษย์น้อง
ทั้งสอง ต่างสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยสำนึกตนว่า มิอาจต้านทานได้ ทั้งยังมี สือเซิง
หัวหน้าทหารอีกผู้หนึ่งที่ มีฝีมือกล้าแข็ง รวมทั้งมือกระบี่ค่ายกลทั้งเก้าคน ที่บัดนี้
ได้กลับกลายเป็นคน ของป้อมสุริยันของราชสำนัก
เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้งหันมองป้ายชื่อเหล่าบูรพาจารย์ เบิกตาขึ้นคราหนึ่ง
เหมือนครุ่นคิดสิ่งใดได้จึงกล่าวขึ้นว่า
" เหตุการณ์ครานี้เป็นข้าพเจ้า ที่ก่อขึ้น ตายไปมิมีเสียดาย แต่พลอยต้องให้
พวกท่านมารับเคราะห์ ไปด้วย "
" ศิษย์พี่เจ้าสำนักอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลย ถึงแม้พวกเราถูกขับออกจากสำนัก
แต่เกิดจากหัวซานแม้ตายก็ ขอตายเพื่อหัวซาน พวกเราหาได้อาลัยไม่ " เตียวทูฟง
กล่าวขึ้นอย่างหึกเหิม เซียนเมาน้ำเต้าแดงผงกศรีษะเห็นพ้อง จิตใจร้อนระอุ ด้วยความ
เทิดทูนต่อเกียรติภูมิ สำนักหัวซานของตน
" นอกจากท่านปรมาจารย์ผู้สำเร็จ พลังปราณขั้นเก้า หลอมรวมกระบี่กับพลังปราณ
จึงจะพิชิตคนเหล่านี้ได้ " เตียวทูฟงกล่าว
" น่าเสียดายข้าพเจ้ากับศิษย์น้องเตียว มิอาจมีฝีมือถึงขั้นนั้น " เซียนเมาน้ำเต้าแดง
กล่าวแล้วส่ายหน้า กระดกสุราในน้ำเต้าขึ้นสองอึก ดังเอื๊อกเอื๊อก บ่งบอกถึงความหนักใจ
อับจนปัญญา
" ขอภัยท่านผู้การ เทียนหย่ง ดูท่านมีพลังฝึกปรือลึกล้ำมิน้อย มิทราบท่านกรุย
ชีพจรทะลวงจุดหยิมต๊กผ่านด่านเป็นตายแล้ว หรือไม่ " เจ้าสำนักเล้งซุนคุ้งกล่าวถาม
โค้วหย่งเทียน แฝงด้วยความหมาย ด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน
คำกล่าวของเจ้าสำนักหัวซาน ทำให้คนทั้งสามต่างจับจ้องมองโค้วหย่งเทียน
การผ่านด่านเป็นตายทะลวงจุดหยิมต๊ก เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทุกคนใฝ่ฝัน เนื่องด้วยเป็น
การทะลวงออกจากพลังธรรมชาติเหนือพลังชาติ ส่วนมากผู้ที่ผ่านขั้นนี้ จะมักจะเหล่า
เป็นปรมาจารย์ หรือยอดคนชั้นสูงของมรรคาบู๊
ห้วงมหรรณพกว้างใหญ่
มรรคาบู๊ไร้ซึ่งขอบเขต