วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอน14ศึกสัประยุทธกระบี่หัวซาน3





                                                   









                               "   ข้าพเจ้าเคยผ่านจุดนี้ เมื่อสามปีที่แล้ว  ท่านผู้อาวุโส   "

         

        พอทั้งสามคนได้ฟังคำตอบจากโค้วหย่ง   ถึงกลับตื่นตระหนกทั้งตื่นเต้นยินดี  คาดมิถึงว่าบุรุษ

   หนุ่มผู้นี้จะสำเร็จ พลังภายในขั้นสุดยอดของมรรคาบู๊ ตั้งแต่เยาว์วัย  เจ้าสำนักหัวซานกล่าวด้วยสี

   เหนื่อยอ่อน  ขึ้นมาอีกครา 

 
    "    บูรพาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่ มีพลังปราณระดับเหนือธรรมชาติ ย่อมมีโอกาสฝึกวิชาทั้งสอง

          สายได้อย่างเร็ดเร็ว   ทั้งยังสามารถหล่อรวมเพลงกระบี่หัวซานและพลังปราณมังกรแดงเก้า

          ให้เป็นหนึ่งได้  แต่น่าเสียดายเหล่าบูรพาจารย์ของหัวซานมิมีใคร ฝึกได้ถึงขั้นนั้น  "



   "   ศิษย์พี่เจ้าสำนักหมายความว่าถ้าหาก  ผู้ตรวจการเทียนหย่ง ฝึกเพลงกระบี่หัวซาน และพลัง

       ปราณมังกรแดง อาจสามารถประสบความสำเร็จได้  "  เตียวทูฟงกล่าวอย่างตื่นเต้น 



    เซียนเมาน้ำเต้าแดง กล่าวขึ้นว่า


    "  ถ้าอย่างนั้นรีบสอน วิชาทั้งสองสายให้ ท่านผู้ตรวจการ เทียนหย่ง โดยไว   "


    ฝ่ายโค้วหย่งเทียนเมื่อได้ฟัง  ครุ่นคิดขึ้นว่าตนมีสำนักอาจารย์ ไฉนจะกราบไว้ ฝึกวิชาฝีมือกับ

 สำนักอื่นอีกเล่า อึกอักจึงกล่าวขึ้นว่า 

   

               "  จะได้อย่างไร  ท่านผู้อาวุโส  "  



        ทั้งสามเมื่อได้ยินคำกล่าวของบุรุษหนุ่ม จึงมีสีหน้าสลดลงทั้งเข้าใจ ความคิดของโค้วหย่ง

  เทียน ต่างนิ่งเงียบชงักงันไป   ทั้งสามต่างมองตากัน พากันคงเขาลง  จนทำให้โค้วหย่งเทียน

  ตื่นตระหนกฝ่ายเซียนเมาน้ำเต้าแดงคุกเขาลงพร้อมกล่าวขึ้นว่า


        "  ท่านผู้ตรวจการได้โปรด ช่วยเหลือหัวซานให้พ้นวิกฤตครั้งนี้ด้วยเถิด  "

     
   " การฝึกวิชาสำนักอื่น เพื่อผดุงคุณธรรม มิถือว่าผิดกฎของวิชาบู๊ ขอท่านช่วยกำจัดศิษย์ทรยศ

  ซึ่งอีกทั้งเป็นความหวัง ก่อนตายของข้าพเจ้าเล้งซุนคุ้ง ด้วยเถิด "

    เจ้าสำนักหัวซานกล่าวจบ ก็กระอักโลหิตออกมา หายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เป็นภาพที่โค้วหย่ง

 เทียนยากที่ใจแข็งขืน ประเสธออกไปได้ จึงอ้ำอึ้ง

   
        "  พวกท่าน ไฉนทำเช่นนี้  "   โค้วหย่งเทียนกล่าวขึ้น    เตียวทูฟงจึงกล่าวขึ้นว่า

  "  เมื่อท่านสำเร็จวิชาหัวซานทั้งสองสาย  ย่อมช่วยเหลือหลายชีวิตมิให้ตกตายไป  อีกทั้งมิผิด

 กับปณิธานของผู้เป็นอาจารย์ท่าน  ต่อไปภายภาคหน้า ท่านเห็นศิษย์หัวซานคนใด เหมาะสมจึง

 ถ่าย ทอดวิชากลับคืน  "



         ลำพังดาบตัดสายฟ้า และพลังเทพอัสนีบาต  โค้วหย่งเทียนย่อมมั่นใจ ว่าสามารถจัดการกับ

  เหล่าคนบนหัวซานได้  แต่โค้วหย่งเทียนย่อมทราบดี   ถึงจุดประสงค์ของทั้งสาม ว่าต้องการให้

  ตนใช้วิชาหัวซานจัดการกับศิษย์ทรยศของสำนัก  เมื่อมองดูสายตาของคนทั้งสามยิ่งสะท้อนใจ    

 โดยเฉพาะสภาพที่ร่อแร่ เจ้าสำนักหัวซาน  ต้องถอนใจ หวนนึกถึงคำกล่าวของดาบจอมภพ ผู้เป็น

 อาจารย์ 

 
 
     "   หย่งเทียน  อันว่าวิชาบู๊ มิว่าวิชาใด  ย่อมมีรากฐานเดียวกันนั้นคือ เป็นมรรคาบู๊ ประดุจห้วง

         มหรรณพอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต  และย่อมมีแม่น้ำสาขาย่อยที่แยกไป  ฉะนั้นเจ้ามิควรยึด

         ถือวิชาฝีมือเป็นของตายตัว   มิฉะนั้นอาจทำให้  ฝีมือหยุดนิ่ง จนมิอาจจะก้าวหน้าให้สูงยิ่ง

         ขึ้นไปได้   "   


         
   
      "   ถ้าเป็นเช่นนี้ผู้เยาว์คงมิกล้าปฏิเสธ  "    


        เสียงของโค้วหย่งเทียนกล่าว  สร้างความยินดีแก่คนทั้งสาม  เจ้าสำนักหัวซานที่ทำท่าร่อแร่

  กลับคึกคักสีหน้ามีสีเลือดขึ้นมา  เตียวทูฟงกล่าวขอบคุณอยู่มิหยุดยั้ง เซียนเมาน้ำเตาแดงกระโดด

  โลดเต้นปานเด็กทารก เมื่อได้สิ่งของถูกใจ พลางหัวเราัะพร้อมทั้งกระดกน้ำเต้าแดงอยู่มิขาด
   

   
      ขณะที่เมี่ยวสั่งเซิน สือเซิงและพรรคพวกกำลังมุ่งหน้ามายัง สุสานบูรพาจารย์หัวซาน   ผู้ที่อยู่ใน

  สุสานกลับทุ่มเทอย่างมุ่งมั่น หนึ่งฝึกฝนสามคนชี้แนะ    แม้ว่าบุรุษหนุ่มจะมิใช่ยอดอัจฉริยะ  แต่สำ

  หรับผู้ที่เคยผ่านห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่ อย่างโค้วหย่งเทียน ย่อมข้ามสายธารได้อย่างมิยากเย็น  

  วิชาสำนักหัวซานกลับเป็น สายธารอันลี้ลับหลายร้อยสายสลับซับซ้อน  ยามกระทันหันมิอาจเรียนรู้

  ได้สิ้น แต่อานุภาพของกระบี่ และพลังปราณแดงกลับเหนือล้ำกว่าเตียวทูฟง และเซียนเมาน้ำเต้าแดง

   เจ้าสำนักหัวซานเล้งซุนคุ้ง ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาทั้งหมดที่ตนมี  อีกทั้งได้พลังอัสนีบาตหนุนส่งจึง

   ทำให้บุรุษหนุ่มรุดหน้าอย่างรวดเร็ว  


       อันวิชาดาบตัดสายฟ้ากับ วิชากระบี่หัวซาน  แม้จะต่างกันตรงรูปลักษณ์  แต่ความพิศดารของกระ

  บวนท่ากลับเป็น แนวทางเดียวกัน  โดยทั่วไปผู้ฝึกดาบจะเน้นถึงพลังดาบในแนวกร้าวแกร่งดุดัน ฝ่าย

  ผู้ฝึกกระบี่กลับเน้นแนวทางพริ้วไหวรวดเร็วจึงต่างกัน  แต่วิชาดาบตัดสายฟ้ากลับเป็นการรวมเอาปม

  เด่นทั้งดาบและกระบี่มารวมกัน แม้ตัวดาบตัดสายฟ้าจะใหญ่อันเน้นถึงพลัง  แต่ความเบาบางกลับแฝง

  ด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวสุดเปรียบปาน      ฝึกอยู่ครู่หนึ่งโค้วหย่งเทียนจึง ทำความเข้าใจหลักของ

  วิชาสำนักหัวซานได้  


       ขณะนั้นที่ปากสุสานมีเสียงฝีเท้าผู้คนดังมา เซียนเมาน้ำเต้าแดงกับเตียวทูฟง จึงโถมกายรีบออก

  ไปเืพื่อสกัดกั้นหมายถ่วงเวลา


      "   เฮอะๆ  นึกว่ายอดฝีมือใด ที่แท้ก็เป็นพวกที่โดนขับออกจากสำนัก  "  เมี่ยวสั่งเซินกล่าวขึ้น

   
     "   ถึงแม้พวกเราจะถุกขับออกจากสำนัก แต่ใจเรามิเคยทรยศสำนักเช่นพวกที่อยู่ในสำนัก   "  

  เตียวทูฟงกล่าวสวนขึ้น พลางกวาดตาจ้องมองบรรดาศิษย์หัวซานที่ขณะนี้ ไปเข้ากับเมี่ยวสั่งเซิน

  จนหมดสิ้น


      คำกล่าวทำให้บรรดาศิษย์หัวซานต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วน   สือเซิงหัวหน้าทหารจึงแค่นเสียง

  กล่าวขึ้น


        "  เฮอะ  จะตายอยู่แล้วยังทำเป็นปากกล้า  "


       
      "       บิดามีมือมีเท้า  คงมินิ่งให้เชือดเฉือนอยู่ถ่ายเดียวเป็นแน่   แม้นจะตายก็ขอลากพวกเจ้าไป

              ด้วยสักหลายคน  ฮ่า  ฮ่า    "

        เซียนเมาน้ำเต้าแดง กล่าวขึ้นพลางชี้นิ้วกราดไปทั่ว จากนั้นก็กระดกน้ำเต้าขึ้นดื่มอักอัก  เตรียม

   พร้อมลงมือ 



       ภายในสุสาน โค้วหย่งเทียนกำลังขมักเขม้น ฝึกฝนวิชาหัวซานทั้งสองสาย  การหล่อหลอมกลับ

  ยังมิอาจจะทำได้  เหมือนกับวิชาทั้งสองมีเยื่อบางบาง ที่ยืดหยุ่นหนืดเหนียวกางกั้นมิอาจจะทลวง

  ผ่านไปได้    พลันมีสองเงาร่างพุ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่เงาร่างนั้นกลับเป็นของเซียนเมาน้ำเต้าแดงกับ

  เตียวทูฟง  ที่ลอยเคว้งประดุจใบไม้ร่วงที่ ถูกพายุพัดพา
         

    โค้วหย่งเทียนพลันวาดฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น เกิดเป็นสายพลังสีจางจาง  พยุงร่างทั้งสองไว้  พร้อม

 กันนั้นได้ยิน เสียงหนึ่งตะโกนเข้ามา


        "  ฮ่า ฮ่า  มาฝึกวิชาตอนนี้ มันจะมิสายไปหน่อยหรือ  "  ผู้กล่าวคือเมี่ยวสั่งเซิน


       "   ข้าพเจ้าว่า พวกท่านทั้งสี่รามือรับความตายแต่โดยดี จึงจะไม่ตายอย่างทรมาน  " เสียงของ

  หัวหน้าทหาร สือเซินกล่าวเสริมขึ้น ราวกับว่าได้กำเอา ชะตาชีวิตของคนทั้งสี่ไว้ในมือตน


    ทันทีที่โค้วหย่งเทียน เห็นเมี่ยวสั่งเซินและบรรดาพรรคพวก เข้ามาในสุสาน  อีกทั้งเมื่อเหลียวมอง

  ร่างอันบอบช้ำ ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของ เตียวทูฟงและเซียนเมาน้ำเต้าแดง   จึงบังเกิดโทสะ แค่น

  เสียงกล่าวอย่างเย็นชาขึ้นว่า


     "  แม้ข้าพเจ้าจะเพิ่งฝึก  แต่เกรงว่าคงมิง่ายนัก ที่พวกท่านจะฆ่าข้าพเจ้าได้  "



     "  เด็กทารกวาจาสามหาว  "  หัวหน้าพรรคทรายดำ ติงต่งกล่าวขึ้น


    "  ติงต่ง เป็นเยี่ยงไรบ้างลิ้มรสฝ่าเท้าของบิดา  ฮ่า ฮ่า  "  เซียนเมาน้ำเต้าแดง ที่อยู่ในสภาพทุลักทุ

 เล ส่งเสียงขึ้น ในมือยังประคองน้ำเต้าแดง ประหนึ่งประคองคนรักอย่างทะนุถนอม   กล่าวจบก็กระดก

 สุราลงคอดังเอื๊อก


      หัวหน้าพรรคทรายดำติงต่ง สีหน้าแดงกำด้วยโทสะ ทั้งอับอาย จนตัวสั่นระริกใคร่จะฉีก เนื้อเซียน

  เมาน้ำเต้าแดงออกเป็นชิ้นๆ    เมี่ยวสั่งเซินพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชาขึ้นบ้างว่า


     "  เฮอะ ขนาดสามยอดฝีมือหัวซาน ยังมีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้  ทารกอย่างเจ้าไหนจะทานทนได้ 

        จะฆ่าทารกอย่างเจ้าก่อนดี หรือฆ่า เศษสวะทั้งสามก่อนดี  " 


     
    "  เมี่ยวสั่งเซินอย่ากำแหงให้มาก  แม้เราตาย เราก็จะได้ไปพบนางก่อนที่ปรโลก  "  เจ้าสำนักหัว

  ซานเล้งซุนคุ้ง กล่าวขึ้นอ้างถึงนางในดวงใจที่ทั้งสองแยกชิงกันมาทั้งชีวิต 


    "  เล้งซุนคุ้งเกรงว่า นางจะจำเจ้ามิได้ เพราะข้าจะให้เจ้าตายอย่างซากมิสมบูรณ์ ฮ่า ฮ่า  "

         
   
     "  มันก็มิแน่ว่า ผู้ใดจะตาย หรืออาจเป็นท่านก็ได้ เมี่ยวสั่งเซิน  "  โค้วหย่งเทียนกล่าวขึ้น
    

  ทันทีที่โค้วหย่งเทียนกล่าวจบ มีศิษย์สำนักหัวซานเหนือผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มือฝีมือกล้าแข็ง ชักกระบี่

 ตวาดเสียงก้อง โถมเข้าหาโค้วหย่งเทียน หมายสยบบุรุษหนุ่ม เืพื่อเอาใจผู้เป็นนายตน   ด้วยคาดว่า

 บุรุษหนุ่มชุดเขียว  ที่เิ่พิ่งจะฝึกวิชากระบี่หัวซาน ฝีมือคงมิเท่าไหร่   หรือจะสู้ตนผู้ฝึกกระบี่หัวซานมา

 หลายสิบปีได้ไฉน ดีดลูกคิด ตนมีแต่ได้กำไรถ่ายเดียว   แต่หารู้ไม่ว่าตนกำลังล้อเล่นกับพญามัจุราช


      พลันโค้วหย่งเทียนขยับไหล่คราหนึ่ง  เสียงร้องโอดโอยครวญคราง กลับดังขึ้นจากปากศิษย์หัว

 ซานเหนือผู้นั้น เห็นมันยกมือป้องศรีษะที่ชุ่มไปด้วยโลหิตทั้งสองข้าง โลหิตไหลย้อยเป็นทางลงสู่

 พื้น และที่พื้นนั้นเอง มีซากอวัยวะใบหูสองข้างตกอยู่   เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมิมีใครมอง

 ทันว่าเกิดสิ่งใดขึ้น   บุรุษหนุ่มโพกผ้าชุดเขียวผู้นี้ลงมือเช่นไร   กลับเฉือนเอาใบหูทั้งสองข้าง ของ

ศิษย์หัวซานผู้มีฝีมือกล้าแข็ง อย่างง่ายดาย   ทำเอาผู้คนต่างเหน็บหนาว 


     "  ที่แท้ก็ีมีฝีมือ อยู่ท่าสองท่า จึงปากกล้านัก  "   สือเซินหัวหน้าทหารกล่าวขึ้น  


 ฝ่ายเมี่ยวสั่งเซิน เห็นดังนั้นจึงคิดว่าควรจะกำจัด บุรุษหนุ่มโพกผ้าชุดเขียวก่อน  จึงร้องสั่งบริวารเข้า

 รายล้อมโค้วหย่งเทียน  


    " ถ้าเป็นเช่นนี้คงต้องฆ่า ทารกน้อยผู้นี้ก่อน  จัดการ  "  


   เมื่อคำกล่าวของเมี่ยวสั่งเซินจบลง มือกระบี่ มือดาบ ทั้งหลาย  ต่างโถมเข้าหาเป้าหมายเพียงหนึ่ง

 เดียว คือโค้วหย่งเทียน   ฉากการต่อสู้จึงดำเนินขึ้น อย่างดุเดือด   โค้วหย่งเทียนร่ายรำวิชากระบี่หัว

ซาน ที่ตนเพิ่งร่ำเรียนมา  อย่างพริ้วไหวลึกล้ำมิแพ้เจ้าสำนักหัวซาน  บางครั้งก็ใช้พลังปราณมังกรแดง

เตียงทูฟง เซียนเมาน้ำเต้าแดง เจ้าสำนักหัวซาน ต่างจ้องมองการต่อสู้ของ อันบ้าคลั่งของเหล่านักบู๊

 ทั้งร้อยกว่าคน ที่กลุ้มรุมบุรุษหนุ่มชุดเขียว เพียงผู้เดียว อย่างหวาดหวั่น ถึงแม้พวกตนคิดจะช่วยเหลือ

 แต่กลับมิอาจทำสิ่งใดได้  ด้วยสภาพของพวกตน แค่พยุงกายให้ลุกขึ้นก็ยากยิ่งแล้ว  จึงได้แต่ร่ำร้องด่า

 อยู่มิขาดปาก  ทั้งยังมองมิเห็นร่างของโค้วหย่งเทียน   มีเพียงประกายสีเขียว วูบวาบประดุจพญามังกร

 เขียว ท่องอยู่ในกระแสวารีอันบ้าคลั่ง    ประกายสีเขียวปรากฏ ณ ที่ใด  ผู้คนต่างล้มลงดุจใบไม้ร่วง
  

      ในสุสานบูราจารย์ เพลานี้กลับเจิงนองไปด้วยโลหิต   มือกระบี่ มือดาบ เหล่าทหารร้อยกว่าคนต่าง

 ถูกโค้วหย่งเทียน สยบจนสิ้นภายในเวลามิกี่อึดใจ สร้างความยากเชื่อถือแก่ผู้คน  แต่ทั้งหมดกลับเกิด

 ขึ้นแล้ว ด้วยฝีมือบุรุษโพกผ้าชุดเขียว โค้งหย่งเทียน


    เมี่ยวสั่งเซินและสือเซินต่างมองดูด้วยความเหน็บหนาว  คาดมิถึงบุรุษหนุ่มผู้นี้ จะสามารถเรียนรู้วิชา

 ทั้งสองสายของสำนักหัวซานได้อย่างรวดเร็ว  ทั้งยังดูจะเหนือล้ำกว่าเล้งซุนคุ้งเจ้าสำนักหัวซาน ต้อง

 ประเมินบุรุษหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ใหม่


 
    "   ช่างดีมากเล้งซุนคุ้ง  สั่งสอนศิษย์ให้ทำร้ายเหล่าผู้อาวุโส ของสำนัก "  เมี่ยวสั่งเซินยกเอากฏของ

 สำนัก ขึ้นมากล่าว



  "   ถุย .. บิดาเจ้าเถอะ เมี่ยวสั่งเซิน พอเสียเปรียบก็ยกเอา กฏของสำนักมากล่าวอ้าง  " เซียนเมาน้ำเต้า

 แดงแผดเสียงด่าอย่างเหลืออด   ซึ่งความจริงเซียนเมาน้ำเต้าแดงก็ส่งเสียงร้องด่าอยู่ตลอดเวลา   พลัน

 เจ้าสำนักหัวซานจึงเอ่ยขึ้น ว่า


  "  เมี่ยวสั่งเซิน คราก่อนเจ้ายกเอากฏของสำนัก ข้อที่ยี่สิบ วรรคสอง วงเล็บหนึ่ง ขึ้นมากล่าวอ้าง  แต่

     ตอนนี้เราเล้งซุนคุ้งจะขอยกเอากฏข้อที่ ยี่สิบ วรรคสอง วงเล็บสอง ขึ้นมากล่าวอ้างบ้าง เจ้าคงรู้ดี  "


 





                          มังกรคะนองวารีคลั่ง ประกายปรากฏ ใครเล่าหาญต่อกร