วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอน11 ประมุขสมาพันธ์สายฟ้าคุณธรรม




                                   
                           ประมุขสมาพันธ์สายฟ้าคุณธรรม

        


                    

         ณ ถ้ำพยัคฆ์ขาว อันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ด้านในกว้างขวางใหญ่โต สามารถจุ

ผู้คนได้หลายร้อยคน บัดนี้มีเหล่าหัวหน้าโจรทั้งสิบสองค่าย นั่งเรียงรายอยู่บนเก้าอี้ 

หนังจิ้งจอกทั้งสองฝั่ง สูงขึ้นไปตรงกลางห้องเป็นเก้าอี้ ที่นั่งไว้ด้วยบุรุษหนุ่มหน้า

ตาคมคาย  หนังพยัคฆ์ขนาดใหญ่ที่ปูลาดบนเก้าอี้ ยิ่งขับเน้นให้บุคลิกดูน่าเกรงขาม  

ด้านขวามือของบุรุษหนุ่ม   เป็นหลวงจีนชราที่นั่งหลับตาอยู่บนอาสนะสีแดง      

    หลวงจีนชราผู้นี้เป็นผู้ใดมาจากไหน มิมีผู้ใดทราบ  ทราบแต่ว่าเป็นหลวงจีนชรา

รูปหนึ่ง ที่มีตบะคุณธรรมสูงส่ง  ใบหน้าแดงระเรื่อผ่องใส เปี่ยมไปด้วยเมตตา ของผู้

สละกิเลส ชวนให้ผู้คนเคารพศรัทธา มีหลายครั้งที่ผู้คนถามท่านว่า ท่านมาจากไหน 

จะไปยังที่ใด และท่านชื่ออะไร แต่ทุกผู้คน ต่างได้คำตอบเดียวกัน ว่า


  " อาตมา มาจากตัณหาคือความอยากทั้งสาม กามตัณหา ภวะตัณหา วิภวะตัณหา  

    จุดหมายของอาตมาที่จะไปคือ ความดับตัณหาทั้งสาม ส่วนชื่อนั้น อาตมามิมีชื่อ

    เพราะชื่อนั้นเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ พวกท่านพอใจจะเรียก อาตมา ว่าเช่นไร ก็


    เรียกเช่นนั้นเถิด "

             

  จากนั้นทุกผู้คนจึงเรียกท่านว่า หลวงจีนชรา  บ้างก็เรียกท่านว่าบรรพชิตเหนือโลก

       

              ครั้นแล้วหลวงจีนชราจึงลืมตาเอ่ยขึ้นว่า  


     "  อามิตรพุทธ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี  ที่วันนี้ประสกโค่วหย่งเทียน
ได้รับตำแหน่งประมุขสมาพันธ์แปดทิศ สิบค่ายโจร  แต่..  "  หยุดเล็กน้อยแล้วเอ่ย
สืบไปว่า


     " ในเมื่อพวกท่านกลับตัวกลับใจออกจากทางมิจฉาชีพ อาตมาเห็นว่า
สมควรเปลี่ยนชื่อสมาพันธ์ใหม่ ประสกโค่วเห็นว่าอย่างไร  อามิตพุทธ  "


    โค่วหย่งเทียนและเหล่าขุนโจรซึ่งบัดนี้ ได้กลายอดีตไปแล้ว ต่างเห็นชอบด้วย  

โค่วหย่งเทียนจึงกล่าวกับหลวงจีนชราว่า      "  ขอไต้ซือชี้แนะด้วย   "
   
   
            หลวงจีนชราหลับตาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า 

   "  สมาพันธ์สายฟ้าคุณธรรม  ประสกเห็นว่าเป็นเช่นไร "


    ทุกผู้คนต่างเห็นด้วย โค่วหย่งเทียนคิดว่าสายฟ้าคุณธรรม สอดคล้องกับวิชาตน

ทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติคุณของดาบจอมภพผู้เป็นอาจารย์ จึงกล่าวด้วยความยินดีว่า


     "  ต่อจากนี้ไป พวกเราคือ สมาพันธ์สายฟ้าคุณธรรม   "   คำกล่าวของโค่วหย่ง

เทียนจบลง เหล่าหัวหน้าค่ายทั้งสิบสอง ต่างส่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกัน ด้วยความ

พลุ่งพล่านระอุไปด้วยความอบอุ่นชนิดหนึ่ง 


   
           " สมาพันธ์สายฟ้าคุณธรรม   สมาพันธ์สายฟ้าคุณธรรม  "


    เมื่อเสียงของเหล่าหัวหน้าค่ายสงบลง โค่วหย่งเทียนจึงกล่าวขึ้นว่า" เมื่อพวกเรา

เลือกทางเดินใหม่ ต่อไปจะมิหวนคืนสู่เส้นทางมิจฉาชีพอีก   พวกเราจะทำการค้า  "

     เหล่าหัวหน้าโจรเมื่อฟังว่าประมุขของพวกตน ว่าจะทำการค้า ต่างมองหน้ากัน

เลิกลั่ก  ครุ่นคิดว่าไฉนพวกตนจะทำได้ ด้วยตลอดหลายสิบปีมานี้้  มีแต่ปล้นชิงสิน

ค้า มิเคยทำการค้าแต่อย่างใด  เหมือนโค่วหย่งเทียนจะล่วงความคิด ของเหล่าหัว

หน้าค่าย จึงกล่าวขึ้นอีกว่า 


      " ในเส้นทางสุจริต ถึงแม้จะเหนื่อยยาก หากมีความขยันมานะอดทน
ก็อาจจะสามารถ หยัดยืนได้  "
 

    ได้ยินหลวงจีนชรา กล่าวอามิตพุทธ ด้วยความยินดี ที่บุรุษผู้นี้มุ่งสู่ครรลองแห่ง

ความดีงาม  เหล่าหัวหน้าค่ายทั้งสิบสองเมื่อ ได้ฟังต่างรู้สึกชื่นชม ภูมิใจในประมุข

ของตน  ที่มีปณิธานอันประเสริฐสูงส่ง แล้วกระบี่จงอาง พลันเอ่ยขึ้นว่า


        "  เรียนท่านประมุข แล้วพวกเราจะทำการค้าอะไร  "   

      
     เหล่าหัวโจรต่างมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครา  โค่วหย่งเทียนจึงกล่าวขึ้นว่า


      " พวกเราจะทำสำนักคุ้มภัย   ผู้ที่อยู่ทางฝั่งแม่น้ำขอให้ต่อเรือค้าขายเกลือ 
        รวมทั้งสินค้าต่างต่าง  อีกทั้งอาชีพทุกอาชีพ ที่มิใช่การปล้นชิงพวกเราล้วน
        ทำทั้งสิ้น ตามความสามารถถนัดของแต่ละบุคคล  "



      ได้ยินเสียงหลวงจีนชรากล่าวว่า ประเสริฐ ประเสริฐ  อยู่มิขาด   


 
   

        นับจากวันนั้นค่ายโจร ทั้งสิบสองค่ายโจรได้ อันตธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย  

มิมีผู้ใดทราบว่าเกิดอะไรขึ้น กับเหล่ามิจฉาชีพที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ไฉนจึงสาบสูญ

หายไปดั่งภูตพราย  บางคนเล่าว่าเพราะ  เหล่าหัวหน้าค่ายโจร ต่างเข่นฆ่าช่วงชิง

ตำแหน่งประมุขสมาพันธ์กัน  จนล้มหายตายจากไปสิ้น  บ้างก็ว่าได้ถูกทางการกวาด

ล้าง บ้างก็ว่าได้มียอดคนออกมา กำราบเหล่าโจรร้ายจนหนีหาย
  

   ใครเล่าที่จะบอกได้ นอกจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ก็มิมีผู้ใดยอมปริปาก 

เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว

  
    
     
       ภายในระยะมิกี่เดือน ได้เกิดสำนักคุ้มภัย ที่โดดเด่น ขึ้นมาสำนักหนึ่งและมีชื่อ

เสียงโ่ด่งดังขึ้น ชื่อว่าสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม  ด้วยการส่งสินค้าที่ฉับไวรวดเร็ว 

สิ้นค้าทุกชิ้นมิตกหล่น ครบตรงตามจำนวน สถานที่ใดที่มีเหล่าโจรร้าย สำนักคุ้มภัย

อื่นมิกล้าผ่าน แต่ถ้าเป็นสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมแล้ว  มิมีเส้นทางใดที่ผ่านไปมิ

ได้  เพียงแต่เหล่าโจรร้ายได้เห็นธงรูปสายฟ้า   ต่างหลบลี้หนีหน้า  ดุจสมันน้อยได้

กลิ่นพยัคฆ์  ด้วยความทันต่อเล่ห์เหลี่ยม  ต่างต่างของเหล่าโจรร้าย ล่วงรู้ความคิด

ของเหล่ามิจฉาชีพไปทุกฝีก้าวดุจพยาธิในท้อง และมีขวัญกล้า ฝีมือเหนือชั้นแพรว

พราวกว่าเหล่าโจรร้ายมากมายนัก ทำเอาเหล่าโจรร้ายชาวมิจฉาชีพ  พอได้ยินชื่อ

สำนักคุ้มภัยสายฟ้้าคุณธรรมต่างเข็ดขยาดขวัญกระเจิง    


      ฝ่ายเหล่าพ่อค้าพอเอ่ยชื่อ สำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม ต่างยกนิ้วให้ ว่าสินค้า

ใดถ้าถึงมือสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมแล้ว ยิ่งกว่ามั่นใจว่าปลอดภัย กินอิ่มนอนหลับ

ได้อย่างเต็มตา มีเวลาหาความสำราญกับเหล่าดรุณี น้อยใหญ่ของพวกตนได้อย่าง

สบายอารมณ์


    สาขาของสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม มีอยู่แทบทุกมณฑล หากมีผู้ใดอดอยาก

ไร้ที่ไป หากโจรร้ายใดถ้ากลับใจ  หากแม้นมาที่สำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม ผู้นั้น

ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างดีดุจพี่น้องร่วมอุทร  จึงมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะมี

สักกี่คน ที่เคยเห็นหน้าประมุขสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมแห่งนี้   แต่ทุกผู้คนต่าง

รับรู้ตรงกันว่า  ต้องเป็นยอดคนผู้ที่มีจิตเมตตา  คุณธรรมอันสูงส่งยิ่ง

            
    ฝ่ายเหล่าอดีตขุนโจรและสมุนเมื่อกลับใจ ประกอบสัมมาอาชีพต่าง รู้สึกว่าอาชีพ

สุจจริตมันช่างหอมหวาน ทำแล้วมีความสุขเช่นนี้เอง  สุขที่เกิดจากหยาดเหงื่อของ

ตนแต่ละหยด เป็นความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน  ฉะนั้นพวกตนจึงหวงแหนรักษาเส้น

ทางสายสัมมาอาชีพนี้ยิ่ง  

    ด้วยชื่อเสียงที่นับวันยิ่งโด่งดังขึ้นของสำนัก ทุกผู้คนยิ่งภูมิใจ ว่านี่คือผลงานของ

พวกตน และมั่นใจว่าพวกตนได้เดินทางทีถูกแล้ว  ผิดกลับตอนที่เป็นโจรร้ายคอย

ปล้นชิงผู้อื่นแม้ชื่อเสียงจะโด่งดังรู้สึกกระหยิ่มยินดีบ้าง  แต่ภายในใจลึกลึก กลับ

แฝงไว้ด้วยความมืดดำ รอยยิ้มที่มีก็มิได้ ปลอดโปร่งอย่างกับเช่นตอนนี้ 


       แต่ชื่อเสียงยิ่งโด่งดังยิ่งสร้างความริษยา ให้แก่เหล่าสำนักคุ้มภัยอื่นๆ  สำนัก

คุ้มภัยเหล่านั้นจึงได้รวมตัวกัน วางแผนร้ายหวังทำลายสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม   

ด้วยภายใต้การนำของสำนักคุ้มภัยมังกรทอง

  

           

       ดวงอาทิตย์ทอดแสงต่ำบนเส้นทางหลวงอันยาวไกล  หมู่วิหคนกกาบินอ้อยอิ่ง 

เล่นลมเกาะกลุ่มบินจรอยู่บนเวหา  แต่ผู้คนที่อยู่บน ทางหลวงกลับรีบเร่งยิ่ง เสียงม้า

เสียงรถบรรทุกสิ้นค้าดังอื้ออึง บุรุษหนุ่มผิวสีหมวกหน้าตาคมคาย ชุดเขียวสวมผ้าโพก

ศรีษะผู้หนึ่ง แหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นนกตัวหนึ่งบินรั้งท้ายกลุ่ม จนทิ้งช่วงระยะหนึ่ง  

ประดุจระวังภัยจากด้านหลังให้แก่ ฝูงนกที่บินไปก่อนหน้า  นกตัวนั้นดั่งจะล่วงรู้ว่ามี

สายตาคู่หนึ่งจ้องมองตนอยู่ ส่งเสียงร้องขึ้นคราหนึ่ง ประหนึ่งจะทักทายเจ้าของสาย

ตาคู่นั้น  แล้วรีบเร่งบินตามฝูงของตนไป  บุรุษหนุ่มยิ้มขึ้นคราหนึ่ง สูดลมหายใจเข้า

เต็มปอด แล้วกระตุ้นม้าควบตามหลังขบวนรถสินค้าไป


   ที่ท้ายรถขนสินค้า มีธงสามเหลี่ยมสีขาว ตรงกลางรูปสายฟ้าสีฟ้า พร้อมกับอักษร

สีแดงกำกับไว้ว่าสายฟ้าคุณธรรม ใช่แล้วนี่คือขบวนคุ้มภัย ของสำนักคุ้มภัยสายฟ้า

คุณธรรมแห่งฉางอาน   อันมีกระบี่หัวซานเตียวทูฟง เป็นหัวหน้าผู้คุมขบวนสินค้า

ด้วยตัวเอง    ด้วยคราก่อนขบวนสิ้นค้า ถูกกลุ่มคนลึกลับกลุ่มหนึ่งปล้นชิงไป ทั้งยัง

สังหารรองหัวหน้าผู้คุมขบวน กับลูกน้องไปหลายสิบคน เรื่องนี้นับว่าสร้างความเสื่อม

เสียหน้าแก่ อดีตค่ายโจรผาซ่อนมังกรเป็นยิ่ง ประดุจมีผู้มากระตุกหนวดเสือ สร้าง

ความเดือดดาลแก่ กระบี่หัวซานเตียวทูฟง ทั้งได้นำเหล่าสมุนออกสืบเสาะจนพบ  

เสี่ยงชีวิตเข้าช่วงชิงกับ กลุ่มคนลึกลับเหล่านั้น  แต่กลับมิอาจสู้ฝีมือคนลึกลับกลุ่ม

นั้นได้ ในช่วงเวลาเป็นตาย  กลับเป็นประมุขเจ้าสำนักโค่วหย่งเทียน  ยืนมือเข้า

ช่วยเหลือได้ทันท่วงที  ขับไล่จนคนกลุ่มนั้นล่าถอยไปได้สินค้ากลับคืน  

    วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ครบกำหนดส่งมอบสินค้า หากพ้นวันนี้ไป ชื่อเสียงสำนัก

คุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมแห่งฉางอาน ต้องย่อยยับเป็นแน่  พลันเบื้องหน้ามีเสียงร้อง

ตวาดมา กลุ่มคนแต่งกายคล้ายมือปราบกลุ่มหนึ่ง เข้าสกัดขวางหน้าขบวนรถคุ้มภัย  

  
            "   หยุด.....นี่ขบวนสินค้าใด   "     เสียงบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่

สวมใส่ชุดมือปราบร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง  ทำให้ขบวนคุ้มภัยต้องหยุดลง  รองหัว

หน้าคุ้มภัยนามตู้จงลงจากหลังม้า ประสานมือคำนับ มือปราบผู้นั้นแล้วกล่าวขึ้นว่า


     " นี่คือขบวนคุ้มภัยของสำนักสายฟ้าคุณธรรม  กำลังจะเร่งรีบนำส่งสิ้นค้า 
ขอใต้เท้าได้โปรดเมตตาให้ผ่านทางด้วยเถิด  "    


      กล่าวจบก็เดินเข้าไปใกล้ล้วงถุงเงินจากแขน เสื้อส่งให้หัวหน้ามือปราบผู้นั้น 

อย่างรู้ธรรมเนียม  ด้วยมักมีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านเถื่อน คอยขูดรีดเงินทองจากผู้สัญจร

อยู่เนื่องเนื่อง ถึงแม้จะแต่งตัวเป็นมือปราบ ปากกล่าวทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน แต่ว่า

พฤติการณ์กลับมิต่างจากมหาโจร  ทำให้ผู้คนเอือมระอา แต่ก็มิมีผู้ทำอันใดได้   

ด้วยผู้คนมิอยากตอแย กับคนของทางการ ย่อมเสียเปรียบอยู่ทุกประตู จึงได้แต่

ทำใจก้มหน้ายอมรับสภาพไป

   
       
      " น้ำใจเล็กน้อย เป็นค่าน้ำชา ให้ท่านหัวหน้ามือปราบ
และพี่น้องดื่มดับกระหาย  "   รองหัวหน้าคุ้มภัยตู้จงกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม    


    หัวหน้ามือปราบส่งเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจ  รองหัวหน้าคุ้มภัยตู้จง เมื่อเห็น

ดังนั้น จึงร้องสั่งผู้คนให้ออกเดินทางต่อ ขณะที่รองหัวหน้าคุ้มภัยตู้จงกำลังจะขึ้นม้า      

พลันได้ยินเสียงตวาด ของหัวหน้ามือปราบดังมา พร้อมกับวางท่า เบ่งอำนาจ


         "   ใครบอกให้พวกเจ้าไปได้    "   
 

     "  ใต้เท้า เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร  "  รองหัวหน้าคุ้มภัยกล่าวขึ้น ด้วยรู้สึกว่า
 มิชอบมาพากล


   "   เราต้องการตรวจค้น  เพราะบางทีสิ่งที่พวกเจ้าขนมา 
อาจเป็นผงกำซ่าน ของนิกายฟ้าเอกกะ   "

   หัวหน้ามือปราบหยีตา มองขบวนสินค้าแล้วกล่าวขึ้น
             


 

   "  เป็นไปมิได้ใต้เท้า  สำนักคุ้มภัยเรามีกฏว่า จะมิรับขนส่งสินค้า
     เช่น ศัสตราวุธ   ยาพิษยาเสพติดสุราน้ำเมา  สัตว์ต่างๆที่มีชีวิต 
      และมนุษย์ เพื่อการค้าขาย " รองหัวหน้าคุ้มภัยตู้จง รีบร่ายยาวปฏิเสธ


   

   "   บิดาเจ้า..เรามิต้องการฟัง เจ้ากล่าวาจาพร่ำเพ้อ  จะให้ค้นหรือไม่  " 

หัวหน้ามือปราบร้องด่าด้วยโทสะ ที่ต้องฟังรองหัวหน้าคุ้มภัย ร่ายยาวกล่าว

ถึงสรรพคุณสำนักคุ้มภัยของตน


      ฝ่ายกระบี่หัวซาน เตียวทูฟง นั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าเห็นเหตุการณ์ มาโดยตลอด

จึงโบกมือ ต่อตู้จงให้เหล่ามือปราบตรวจค้น เพื่อจะได้เร่งรีบไป   


       หัวหน้ามือปราบยิ้มที่มุมปาก อย่างเจ้าเล่ห์ ร้องสั่งลูกน้องตรวจค้นหีบสินค้า  

อยู่ครู่ใหญ่แล้วปล่อยขบวนคุ้มภัยให้ผ่านไป   


      เมื่อได้ผ่านด่านตรวจของเหล่ามือปราบ ได้เสียงแช่งชัก กร่นด่าเหล่ามือปราบ 

ของคนคุมขบวนคุ้มภัยอยู่มิขาดตลอดทาง  ด้วยอาทิตย์ได้ลาลับไปเนิ่นนานแล้ว  

เส้นทางเบื้องหน้าบัดนี้มีแต่ความมืดมิด เข้าปรกคลุม  แสงดาวระยับจับขอบฟ้า  

จันทร์เสี้ยวดูประหนึ่ง จะยิ้มเยาะหยัน เหล่าผู้คน




   

       เมื่อเอ่ยถึงสำนักคุ้มภัยมังกรทอง มิมีผู้ใดมิรู้จัก ด้วยเป็นสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่ง  

มีกระบี่มังกรทองอู่อิงสง เป็นเจ้าสำนัก โดดเด่นด้วยวิชา กระบี่มังกรทองหกกระบวน

ท่า  จนสามารถแทรกตัวอยู่แถวหน้าของ ยอดมือกระบี่ในบู๊ลิ้ม  ครองความเป็นหนึ่ง

มาช้านาน แม้แต่สำนักหัวซานเจ้าของเพลงกระบี่ที่โด่งดังลือลั่น ยังต้องยอมสยบ

ต่อวิชากระบี่มังกรทอง ของอู่อิงสง      

     ว่ากันว่าเดิมที อู่อิงสง เดิมทีเป็นเพียงชาวยุทธ  ที่มือฝีมือมิโดดเด่นเท่าใดนัก  

และฝีมือเช่นอู่อิงสง ก็มีให้เห็นอยู่ดาดเดื่อน เหมือนกับเหล่าชาวยุทธทั่วไป   มีอยู่

คราหนึ่งอู่อิงสงเข้าวัง ในฐานะเป็นพระญาติ ห่างห่างของพระนางบูเช็กเทียน ได้เข้า

ไปในหอเก็บคัมภีร์หลวง  หยิบฉวยเอาคัมภีร์วิชากระบี่มังกรทองออกมา แม้จะมีผู้รู้

เห็น แต่ก็มิผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา  ด้วยเกรงกลัวพระราชอาญาของพระนางบูเช็กเทียน 

กลัวว่าอู่อิงสงจะเท็จทูลใส่ร้าย  คนเหล่านั้นจึงแสร้งทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง  ทำมิ

รู้มิเห็น  มินำเภทภัยมาสู่ตัว   หลังจากนั้นอู่อิงสงก็อาศัยเพลงกระบี่มังกรทอง ออก

มาอาละวาดในวงการนักเลงบู๊ลิ้ม จนมีชื่อขึ้นมา  ภายหลังจึงได้ก่อตั้งสำนักคุ้มภัย

มังกรทองขึ้น   ผูกขาดในการส่งสินค้าต่างๆของทางการ  ดุจดั่งว่าได้รับสัมปทาน

จากทางการก็มิปาน จนสำนักมังกรทองก้าวขึ้น มาเป็นสำนักอันดับหนึ่งของวงการ

คุ้มภัยสินค้า
                       
 
       ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่หรูหรา บ่งบอกรสนิยม ของเจ้าสำนักคุ้มภัยมังกร

ทอง  มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งดื่มกินอย่างสนุกสนานสำราญใจ  มีดรุณีหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่ใน

อ้อมแขนของแต่ละคน  


         "   ท่านทั้งหลาย เชิญดื่มให้ความสำเร็จในแผนการ ของพวกเรา   "

  เสียงของเจ้าสำนักมังกรทอง อู่อิงสง  ซึ่งอยู่ในสภาพมึนเมาอยู่หลายส่วนกล่าว

ขึ้นพร้อมชูจอกสุราขึ้น 


 
     "  ประมุขอู่ ยังคงเป็นท่านที่ยอดเยี่ยม   "  เจ้าสำนักคุ้มหมื่นลี้ หลินจิ้งชูจอก

สุรา  กล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้  มิบอกก็ย่อมทราบว่า มึนเมาอยู่หลายส่วนเช่นกัน
    
เจ้าสำนักคุ้มภัยม้าบิน เบ๊งึ่นเช็ง ยกสุรากรอกเข้าปากรวดเดียวกล่าวขึ้นบ้างว่า

   
   "  วันนี้ พวกมันคงส่งสิ้นค้ามิทัน  เป็นแน่  "


   "  ถึงหากพวกมันส่งทันก็หาอาจรอดพ้นชะตากรรมไม่   " หัวมือปราบจูง้วนคัง 

กล่าวเสริม มือหนึ่งยกจอกสุรา  มือหนึ่งป่ายเปะปะไปทั่วร่างของ ดรุีณีหน้าตาจิ้ม

ลิ้มนางหนึ่งในอ้อมแขน


  "  พรุ่งนี้อยากรู้นัก เตียวทูฟงเจ้าสำนักคุ้มภัย สายฟ้าคุณธรรมจะทำหน้ายังไง "
 หงซุน เจ้าสำคุ้มภัยไผ่ขจี กล่าวเสริมขึ้นอีกผู้หนึ่ง
       
 
   ทั้งหมดต่างพากันหัวร่อขึ้น  ยกสุราเข้าปากอย่างครื้นเครง  มั่นใจในแผนการณ์

โค่นล้มสำนักคุ้มสายฟ้าคุณธรรมฉางอาน  ที่บังอาจมาแข่งรัศมีกับบรรดาสำนักคุ้ม

ภัยเช่นพวกตน โดยเฉพาะอู่อิงสงเจ้าสำนักคุ้มภัยมังกรทอง อันเป็นสำนักคุ้มภัยอัน

ดับหนึ่ง  เมื่อมีผู้ที่โดดเด่นเกินหน้า จำต้องโดนสกัดดาวรุ่ง ทุกรายไป   ดังนั้นจึงมิ

มีใครกล้าหือ ทั้งยินยอมเป็นแนวร่วมลิ้วล้อของ  สำนักคุ้มภัยมังกรทอง แทบทั้งสิ้น

   
      มีอยู่คราหนึ่งสำนักคุ้มภัยต้นหลิว มิยอมเข้าร่วมสังกัดอยู่ใต้อำนาจ ของสำนัก

คุ้มภัยมังกรทอง ภายในคืนเดียว ถูกกลุ่มคนลึกลับเข่นฆ่าล้างสำนัก   ทางการมิอาจ

หาตัวคนผิดได้  แต่ทุกผู้คนต่างรู้แก่ใจว่าล้วนเป็นฝีมือของ อู่อิงสงเจ้าสำนักคุ้มภัย

มังกรทองทั้งสิ้น มิมีผู้ใดกล้าปริปาก  เพราะแม้แต่มือปราบจูง้วนคัง คนของทางการ

ผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดของเหล่ามือปราบในแถบนี้ ยังเป็นคนของอู่อิงสง  ครั้งนี้สำนัก

คุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมฉางอาน  คงยากจะรอดพ้นชะตากรรมแล้ว
            

        

     "  เรียนนายท่าน ..เรียนนายท่าน   "  เสียงของคนผู้หนึ่ง กล่าวมาอย่างเร่งร้อน  

พอเจ้าของเสียงโผล่ร่างเข้าประตูมา ปรากฏเป็นชายร่างอ้วนเตี้ย แต่งกายภูมิฐาน 

คนผู้นี้ถึงกับเป็นพ่อบ้าน สำนักคุ้มภัยมังกรทองนามเล็กจู     


    อู่อิงสง และเหล่าหัวหน้าสำนักคุ้มภัยต่าง พากันเหลียวมอง ด้วยท่าทีของพ่อบ้าน

ผู้นี้ ดูตื่นเต้นอย่างประหลาด  แต่ทุกคนต่างคาดเดาไปว่า พ่อบ้านผู้นี้คงมาส่งข่าวดี

เป็นแน่แท้



   "ฮ่า ฮ่า พ่อบ้านเล็ก รีบกล่าวมา " อู่อิงสง หัวร่อกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าอันเต็มเปี่ยม
ด้วยความมั่นใจ


     แต่พ่อบ้านร่างอ้วนเตี้ย กลับสีหน้ากระอักกระอ่วน  ด้วยข่าวที่ตนนำมากลับเป็น

ข่าวตรงกันข้าม กับที่ผู้เป็นนายของตนคาดหวังไว้ จนผู้คนต่างผิดสังเกตุ จึงหยุด

การดื่มกิน  หันไปจับจ้องที่พ่อบ้านร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้   

 
     " เอ่อ...สำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม ได้นำสินค้ามาถึงหน้า
สำนักเยื่อวารี เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน "


   
     คำรายงานของพ่อเล็กจู  ทำให้ทุกผู้แทบ สำลักสุราออกมา  บรรยากาศเริ่มตึง

เครียด ด้วยคิ้วของอู่อิงสง เจ้าสำนักคุ้มภัยมังกรทองขมวดเข้าหากัน ทำให้ทุกคน

แทบสร่างเมา


 

    "  เป็นไปได้ยังไง  ข้าพเจ้าวางกำลังคน สกัดทางที่จะไปสำนักเยื่อวารี
 ถึงสองทางนอกเสียจาก พวกมันจะมีปีกโบยบินข้ามไป "

 หัวหน้ามือปราบ จูง้วนคัง รีบกล่าวขึ้นด้วยใบหน้า มิยอมเชื่อถือวาจา ของพ่อบ้าน 
      

   "  พวกเรายังมีแผนสอง ท่านประมุขโปรดวางใจได้ "   เจ้าสำนักคุ้มภัยหมื่นลี้ 

หลินจิ้งพลันดังอ้อแอ้มา


     " เช่นนั้นพวกเราไปที่่ สำนักเยื่อวารีกัน ไปชมดูน้ำหน้า 
เตียวทูฟง กับ กู่จิ้งหนาน  ฮ่า ฮ่า " 

  เจ้าสำนักมังกรทองอู่อิงสง หัวเราะกล่าวขึ้นอีกครั้ง  ด้วยทั้งนี้เพราะพวกตนยังมี

แผนสองรองรับอยู่อีกชั้น



        
         สำนักเยื่อวารี  เป็นสำนักค้าขายทางทะเลนำสินค้าไปยังเมืองท่าต่างต่าง  

มี กู่จิ้งหนาน เป็นเจ้าสำนัก ครั้งนี้ได้ว่าจ้างสำนักคุ้มภัย สายฟ้าคุณธรรมฉางอาน

ขนส่งเกลือจำนวนมากมายังสำนักตน  พรุ่งนี้เป็นวันที่เรือสินค้าจะออกจากท่า 

วันนี้จึงเป็นสุดท้ายที่จะต้องได้รับส่งมอบเกลือเพื่อรีบลงเรือ  จึงนั่งรอด้วยความ

กระวนกระวาย เพราะว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียง มิถึงครึ่งก้านธูป ก็จะเลยกำหนด

นัดหมายแล้ว       


      "  มาแล้ว  มาแล้ว  ขบวนสินค้ามาแล้ว  "


       เสียงของเหล่าคนในสำนัก ร่ำร้องมาด้วยความดีใจ ส่วนกู่จิ้งหนาน ถึงกลับ

ระบายลมหายออกมาด้วยความโล่งอก เพราะหากมิอาจนำส่งสินค้าลงเรือรายทัน 

อาจเสียลูกค้ารายใหญ่ ถูกริบเงินมัดจำเสียค่าปรับเสียชื่อเสียง 

  
          
       "   คาระเถ้าแก่กู่ พวกเราต้องขออภัยที่นำส่งสินค้า จวนเจียนเวลาเช่นนี้  "  
เตียวทูฟง กล่าวขึ้น

 

  
    "  มิได้เป็นข้าพเจ้าต่างหาก ที่ต้องขอบคุณพวกท่าน  หากแม้นมิได้
พวกท่าน สิ้นค้าคงมิถึงมือ ข้าพเจ้า อย่างปลอดภัยเช่นนี้  "   

 กู่จิ้งหนานกล่าวตอบ พร้อมชำเรืองตามอง บุรุษโพกศรีษะชุดเขียว

   
   เตียวทูฟง เมื่อเห็นดังนั้นจึงกล่าวแนะนำขึ้นว่า


   "  ท่านผู้นี้คือ ผู้ตรวจการของสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม  เทียนหย่ง  "



     " ผู้น้อย เทียนหย่ง คาระวะท่านเจ้าสำนัก กู่ " บุรุษหนุ่มนามเทียนหย่ง

ประสานมือคาระวะกู่จิ้นหนาน ด้วยความนอบน้อม


          กู่จิ้นหนาน มองดูบุรุษด้วยความชื่นชม แล้วกล่าวว่า


    " ท่านเทียน สง่าผ่าเผย เป็นถึงผู้ตรวจการสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม 
 ตั้งแต่ยังหนุ่ม นับว่ามิธรรมดา "


    "  ท่านเจ้าสำนักกล่าวชมเกินไปแล้ว  " บุรุษหนุ่มกล่าวตอบ


  " ครานี้ลำบากพวกท่านแล้ว ได้ยินว่าพวกท่านเสียมือดีในการนี้ไปหลายคน 
    ข้าพเจ้าต้องแสดงเสียใจด้วย ข้าพเจ้าจะเพิ่มค่าจ้าง ถือเป็นค่าชดเชยให้ครอบ
    ครัวคนเหล่านั้น "   กู่จิ้นหนาน กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ



     " ครอบครัวของพวกมันคงทราบซึ้ง ในน้ำใจของเฒ่าแก่ในครั้งนี้ยิ่ง   
อีกอย่างพวกมันตายในหน้าที่ที่พวกมันรักอย่างเป็นสุข  "   เตียวทูฟงกล่าวขึ้น 
เข้าใจถึงจิตใจของลูกน้องตนที่บั้นปลายชีวิตตายอย่างมีคุณค่า  


   คนสำนักคุ้มภัยทุกคนได้ฟัง เลือดในกายพลันร้อนระอุขึ้น ภูมิใจในเหล่าพี่น้อง

ที่จากไป ทุกคนพร้อมที่จะตายในหน้าที่คุ้มภัย  ด้วยเห็นว่าเป็นอาชีพที่สุจริตและ

เส้นทางอันถูกต้อง  


        
          
       ที่ด้านหน้าสำนัก  พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากลุ่มใหญ่ดังมา เมื่อคนเหล่านั้น

มาถึง ก็ลงจากหลังม้า เดินเข้าสู่สำนักเยื่อวารี โดยมิสนใจสายตาผู้ใด คนกลุ่มนี้

คือ เจ้าสำนักคุ้มภัยมังกรทอง และเหล่าเจ้านักคุ้มภัยลิ่วล้อ โดยมีหัวหน้ามือปราบ 

จูง้วนคัง เดินนำหน้าพร้อมเหล่ามือปราบสองข้างหลายสิบคน  

    กู่จิ้นหนาน เมื่อเห็นดังนั้นใบหน้าเคร่งเครียด ขึ้นมาวูบหนึ่ง  แล้วกล่าวด้วยใบ

หน้ายิ้มแย้มขึ้นว่า



         "  ลมอันใดหอบท่านเจ้าสำนักอู่อิงสง และเจ้าสำนักทั้งหลายมาถีงที่นี่
 ยังมีท่านหัวหน้ามือปราบจูอีก  เชิญ เชิญ  เข้ามาดื่มน้ำชาก่อน  "



    " เฮอะ ท่านกู่  ดูท่าสบายอารมณ์ คงได้รับของแล้วกระมัง " เจ้าสำนักคุ้มภัย
มังกรทองเอ่ยขึ้น


   "  เจ้าสำนักอู่ หูตาว่องไวนัก   "  กู่จิ้นหนานเอ่ยตอบ


    " อ้อ ท่านเตียว  ก็อยู่ด้วย  "  เจ้าสำนักมังกรทอง
อู่อิงสงกล่าวขึ้น พลางชำเรือง

มองเตียวทูฟง เจ้าสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมฉางอาน  ซึ่งนั่งจิบน้ำชาอยู่กับบุรุษ

หนุ่มผิวสีหมึกชุดเขียว คล้ายมิมีท่าทีว่าจะสนใจการมาของพวกตน  ภายในใจนึก

กระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่า อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าคอยดู ยังจะมีท่าทีปลอดโปร่งเช่นนี้อยู่

อีกหรือไม่   แล้วกล่าวสืบไปว่า


    "  พวกข้าพเจ้าและเจ้าสำนักทั้งสาม บังเอิญเจอ ท่านจูและพี่น้องมือปราบ  
กำลังตามจับพวกค้าผงกำซ่าน ของนิกายฟ้าเอกกะ  จึงติดตามมาชมดู "


    "  ท่านเจ้าสำนักอู่ กล่าวเช่นนี้หมายความว่ากระไร  "  กู่จิ้นหนานกล่าวขึ้นด้วย
ความมิพอใจ


   "  ท่านกู่อย่าเพิ่งร้อนตัวไป พวกเรา มิได้หมายถึงท่าน "   เจ้าสำนักคุ้มภัยไผ่ขจี 

หงซุนเอ่ยขึ้นบ้าง ปากบอกมิได้หมายถึงกู่จิ้นหนานแต่สายตา ตีกวาดไปทั่วสำนัก  


    ขณะที่กู่จิ้นหนานกำลังเอ่ยวาจาใดตอบโต้ เจ้าสำนักคุ้มภัยไผ่เขียว   บุรุษโพก

ศรีษะชุดเขียว ก็กล่าวขึ้นว่า


   "  ท่านเจ้าสำนักกู่  สบายใจได้พวกเราค้าขายประกอบอาชีพอย่างสุจจริต   "


     "  เจ้าเป็นใคร  "   เสียงหัวหน้ามือปราบจูง้วนคัง ดังขึ้นเมื่อเห็นเป้าหมายที่จะ
 แสดงอำนาจ แล้วกล่าวอย่างวางท่าสืบไปว่า  


    "  เจ้าหน้าที่กำลังจะปฏิบัติงาน  อย่าได้เข้ามาสอด  "  



        ฝ่ายเตียวทูฟงได้ยินดังนั้น จึงแค่นเสียงกล่าวด้วยความมิพอใจว่า

 
   " ท่านมือปราบโปรดระวังวาจา ให้เกียรติด้วย  ท่านนี้คือผู้ตรวจการ
ของสำนักสายฟ้าคุณธรรมของเรา "


 
  หัวหน้ามือปราบจูง้วนคัง แค่นหัวเราะหึ หึ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังอย่างไม่ยี่ระ
 


        "  ผู้ที่มีอำนาจตรวจคือเราหัวหน้ามือปราบ จูง้วนคัง ผู้นี้  "


       
        เจ้าสำนักเยื่อวารี กู่จิ้นหนาน เห็นว่าเหตุชักไม่สู้ดี จึงรีบกล่าวขึ้นว่า 


     "  เช่นนั้น เป็นว่าท่านมือปราบทั้งหลาย คงมาตรวจสิ้นค้าแล้ว "


   
    "  กล่าวถูกได้ต้องแล้วเฒ่าแก่ กู่ ข้าพเจ้าได้รับรายงานมา คงต้องขออนุญาต  "  

     หัวหน้ามือปราบจูง้วนคังกล่าวตอบ 


    ปากแม้ขออนุญาต แต่กลับร้องสั่งบรรดาลูกน้องมือปราบ ค้นหีบสินค้าทันที 

โดยมิรอ ฟังคำอนุญาตจากกู่จิ้นหนานและเตียวทูฟง  


    ฝ่ายเจ้าสำนักคุ้มภัยมังกรทอง อู่อิงสงและเจ้าสำนักคุ้มภัยทั้งสาม ต่างยิ้มด้วย

ความพอใจและมุ่งหวังที่จะหัวเราะดังดัง ใส่หน้ากู่จิ้นหนาน และเตียวทูฟง เมื่อ

ยามที่เหล่ามือปราบค้นเจอ ยาผงกำซ่าน ของนิกายเอกกะ  ที่บรรดาเหล่ามือปราบ

ลอบ ใส่ไปในหีบสิ้นค้า เมื่อคราตั้งด่านตรวจ ก่อนหน้าที่จะนำส่งมายังสำนักเยื่อวารี

และนี่คือแผนสอง ที่อู่อิงสงและพรรคพวกวางแผนไว้  หลังจากแผนแรกล้มเหลว 

ด้วยการถ่วงเวลา บางเส้นทาง ก็ลอบส่งคนคอยก่อกวนปล้นชิง   นับว่าเป็นแผนที่

รัดกุมชั่วร้าย ถึงแม้สำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมจะมีปีก ก็มิอาจที่จะหนีรอดชะตา

กรรมในครั้งนี้ได้แล้ว 


 

   ผู้คนที่กลับใจจากเส้นทางอันมืดดำ เข้าสู่เส้นทางสีขาวอันสว่างไสว 

ไฉนกลับเหมือนโดนฟ้าดินกลั่นแกล้ง คอยสกัดกั้นโอกาส  ให้เขาเหล่านั้น 
 
 มิอาจจะเงยหน้ามองฟ้า หยัดยืนเป็นคนดีได้    บางครั้งถึงกับบีบคั้นจน

  มิเหลือซึ่งหนทางไป  ผลักใส่ให้ดำดิ่ง  ลงสู่เส้นทางสีดำมืดอีกครา   

 แล้วเราท่านจะโทษผู้ใดกันเล่า ?



        

   
           
           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น