ทายาทปรมาจารย์ดาบ
ถอย... ...
เสียงคนชุดดำคนหนึ่งกล่าวขึ้น เมื่อเห็นโค่วหย่งเทียนทะยานมา พอสิ้นเสียง
สี่อสูรทมิฬและมือสังหารชุดดำล้วน อันตรธานหายไปในความมืด ทิ้งเหลือไว้แต่
ซากศพ กลิ่นคาวโลหิต ของเหล่าทหารองครักข์ ที่พลีชีพรักษาหน้าที่ของตน
ตำหนักวังจันทร์ส่องหล้า
" กระหม่อมอารักขาบกพร่อง ทำให้องค์หญิงทรงตกพระทัย
ทรงลงพระอาญาด้วย พะย่ะค่ะ "
เสียงของหัวหน้าองครักข์นามจ้งหนี่ คุกเข่าด้วยร่างอันชุ่มด้วยโลหิตหลาย
แห่ง ลุแก่โทษอยู่เบื้องหน้า ด้วยหน้าที่ของตนคือ ตรวจสอบเส้นทางที่ขบวน
เสด็จขององค์หญิงไท่ผิงเคลื่อนผ่าน กลับมิทราบว่ามือสังหารคอยดักซุ่มอยู่
" องครักข์จ้ง นับว่าความผิดของท่านมิใช่เบา "
บุรุษสูงวัย หนวดยาวแต่งกายภูมิฐานกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม ใบหน้าบึ้งตึง
จ้องมอง หัวหน้าองครักข์ใต้สังกัดนาม จ้งหนี ที่คุกเข่าก้มหน้ายอมรับความผิด
ของตน คนผู้นี้คือ พู่กันยมราช เฉินเหล่าต้า ผู้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายขวาขององค์
หญิงไท่ผิง ทั้งยังเป็นผู้จัดหารวบรวมเหล่ายอดฝีมือ เข้ามาไว้ในสังกัดมากมาย
บุรุษสูงวัยแต่งกายชุดน้ำเงินดั่งเช่นกุนซือ ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายขององค์หญิงไท่ผิง
เอ่ยขึ้นบ้างว่า
" จริงอยู่องครักษ์จ้ง มีความผิด แต่ฝ่ายเราอยู่ที่แจ้งศัตรูอยู่ที่ลับ จ้องคอยหาโอ
กาสลงมือ ทั้งฝีมือกล้าแข็ง ครั้งนี้ถึงกับได้ สี่อสูรใจทมิฬมารร้ายนอกด่าน มา
ทำการ นับได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถ ทั้งตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี "
คนผู้นี้คือที่ปรึกษาฝ่ายซ้ายขององค์หญิงไท่ผิง นาม ฉีว่านเซิน อันมีหน้าที่
ติดต่อรวบรวมขุนนางภายในอย่างเร้นลับ เป็นมันสมองขององค์หญิงไท่ผิงผู้หนึ่ง
กล่าวแก้ต่างให้ กับองครักษ์จ้งหนี แล้วกล่าวสืบไปว่า
" ข้าพระองค์ คิดว่าฝ่ายเราต้อง ชิงลงมืออย่างรวดเร็วจู่โจมในคราเดียว
ให้ฝ่ายตรงข้ามมิทันตั้งตัว "
" อืม.. เรื่ององครักข์จ้ง ขอให้ท่านเฉิน ผ่อนผันไปก่อน "
องค์หญิงไท่ผิงทรงรับสั่งต่อ ที่ปรึกษาฝ่ายขวาของพระองค์
" พะยะค่ะ ฝ่าบาท " เฉินเหล่าต้า น้อมรับ แล้วหันไปกล่าวกับ องครักข์จ้งหนี
" องครักข์จ้ง ความผิดครานี้ละเว้น แต่ท่านต้องทำความชอบลบล้าง
ความผิด จงไปสืบตื้นลึกหนาของฝ่ายตรงข้ามมา "
" ขอบพระทัยองค์หญิง ขอบคุณท่านเสนา " องครักข์จ้งหนีรีบเอ่ย
ขึ้นอย่างดีใจ ดุจว่าตายแล้วได้เกิดใหม่
" ดีนะที่เรามีองครักข์โค่วไปด้วย .......มีผู้ใดเห็นองครักษ์โค่ว หรือไม่ "
องค์หญิงไท่ผิงทรงเอ่ยขึ้นเมื่อมองมิเห็นองครักษ์คู่พระทัย ทุกผู้คนล้วน
มองตากันไปมา มิมีผู้ใดพบพาน
ณ หมู่บ้านต้นหลิว บ้านซ่อมซ่อหลังหนึ่ง ห่างออกไปสิบลี้ ชายชราผมขาว
กำลังประคองดรุณีใบหน้างดงามราวเทพธิดา ท่าทางอมโรคผู้หนึ่ง แม้ใบหน้า
ของนางจะ ดูอิดโรยขาวซีดไปบ้าง แต่กระนั้นความสวยซึ้งยังปรากฎให้เห็น
" ทรวงเอ๋อ ยาถ้วยนี้ หย่งเทียน นำสมุนไพรจากแดนกิมกง
เคี่ยวอยู่เป็นหลายชั่วยาม "
ชายชรากล่าวพลางประคองบุตรสาวจากเตียงขึ้นดื่มยา
" บิดา ยาหลายขนานผู้บุตรล้วนดื่มกินมามากมายล้วน.... "
" ทรวงเอ๋อ เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ บิดาและหย่งเทียน
จะหาทางรักษาเจ้า ให้หายดีให้จงได้ "
" บิดา แล้วเทียนกอกอ ไปไหน? "
ในขณะที่บิดาบุตรี สนทนากัน ภายในห้องครัว มีเสียงดังมาพร้อมทั้ง
ส่งกลิ่นหอม โชยตามลม บุรุษร่างกายกำยำ ท่วงท่าองอาจ บัดนี้กลับเก้เก้
กังกัง หน้าตามอมแมมไปด้วยเขม่าควันไฟ กำลังทำอาหารขมักเขม้น แม้จะ
ดูเก้งก้าง แต่แววตาทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ มือใหญ่หยาบที่เคยจับดาบ มา
บัดนี้กลับกลายเปลี่ยนเป็นจับตะหลิวแทน ลานสัปยุทธ์คือกะทะเหล็กใบหนึ่ง
โค่วหย่งเทียน รู้สึกเป็นเรื่องยากยิ่ง ในการทำอาหารแต่ละจาน
ในชีวิตถนัดแต่การใช้ดาบ นั่งรอแต่สั่งอาหาร ที่ผู้อื่นทำให้ มาบัดนี้ในมือ
กลับถือตะหลิวทำกับข้าวเอง กล่าวไป จะมีใครบ้างจะยอมเชื่อว่านี่คือยอดคน
ที่สยบสี่อสูรทมิฬที่ เหี้ยมโหดชั่วร้ายในแผ่นดิน ที่ใครเห็นต้องขวัญหนีดีฝ่อ
ทั้งยังเป็นบุคคลที่่โดดเด่น แถวหน้าของหมู่ตึกเมฆาเหิน อันมีเสนาเฉินเหล่า
ต้า เสนาที่ปรึกษาขวาฝ่ายบู๊ขององค์หญิงไท่ผิง คอยกำกับดูแล
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อโค่วหย่งเทียนอายุสิบห้าสิบหก บิดามารดาเคี่ยว
เข็ญ ให้ร่ำเรียนหนังสือท่องตำราตามอย่างกงจื้อ ทั่วไปเมื่อเติบใหญ่ จะได้เข้า
สอบรับราชการ ตามอย่างพี่น้องวงศ์ตระกูล ที่ทุกคนล้วนเป็นขุนนางในตำแหน่ง
ต่างๆ โค่วหย่งเทียนมักหนีเที่ยว ชอบฝึกวิชาบู๊มีเรื่องชกต่อย เป็นประจำ มีอา
จารย์ผู้ทรงภูมิความรู้มากมายหลายคน ที่บิดาเชิญมา ล้วนแต่ส่ายหน้าแล้วจาก
ไป สร้างความผิดหวังให้แก่บิดามารดาเป็นที่ยิ่ง
วันหนึ่งโค่วหย่งเทียน ได้พบเห็นเหล่าชายฉกรรจ์ หลายคนกำลัง รายล้อม
ดุรณีน้อยหน้าตาสดใสน่ารักผู้หนึ่ง ดรุณีน้อยนางนั้นถูกอันธพาลประจำถิ่นลวน
ลาม เมื่อเห็นดังนั้นสุดที่โค่วหย่งเทียน จะทานทนต่อไปได้ จึงเข้าไปต่อยตีกับ
เหล่าชายฉกรรจ์อันพาลกลุ่มนั้น แม้ว่าตัวเล็กกว่าและสู้เพียงคนเดียว แต่โค่ว
หย่งเทียนกลับสู้ได้อย่างชาญฉลาด ใช้ไหวพริบ สิ่งของรอบกาย ล้วนหยิบฉวย
ใช้เป็นอาวุธ เท่าที่จะนึกออกเล่นงานอันพาลเหล่านั้นจนสะบักสะบอม แต่น้ำน้อย
ย่อมแพ้ไฟ ตนเองก็ถูกเล่นงาน บาดเจ็บนอนซมอยู่บนเตียง ให้มารดาหยอดน้ำ
ข้าวต้ม อยู่นับสิบวัน แต่นั่นคือความภาคภูมิของโค่วหย่งเทียน ที่พบว่าตัวเอง
กลายเป็นวีรบุรุษพิทักษ์สามงาม นับจากวันนั้น โค้วหย่งเทียนก็มิเคยพบพาน
ดรุณีน้อยหน้าตาสดใสน่ารัก ผู้นั้นอีกเลย
ในคืนที่ฝนตกกระหน่ำปานฟ้าจะทลาย โค่วหย่งเทียนวิ่งหลบฝนที่ใต้ต้น
ไม้ใหญ่ข้างทาง สายตาพลันเหลือบไปพบสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหว ไปมาท่วมกลาง
สายฝน เมื่อเพ่งมองจึงเห็นร่าง ของคนผู้หนึ่ง นอนกลิ้งเกลือกไปมา บนน้ำที่
เจิงนอง พลันเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ทันใดนั้นสายอัสนิบาต ก็ฟาดมายังร่าง
ของคนผู้นั้น เด็กหนุ่มตกใจคาดว่าชายผู้นั้นคงจบสิ้นแล้ว เพราะมิเคยปรากฏ
ว่ามีผู้ใดรอดพ้นจาก สายอสนิบาตแล้วรอดชีวิตไปได้ แต่แล้วร่างที่เกลือกกลิ้ง
อยู่นั้นพลันใช้ดาบเล่มหนึ่ง ตวัดสายฟ้าจนเบี่ยงเบนไป เสียงระเบิดดังตูม ต้น
ไม้ใหญ่ล้มคลืนหักโค่นลง โค่วหย่งเทียนสะดุ้งตกใจ กับเหตุการณ์ที่ปรากฏ
อยู่เบื้องหน้า แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อเพ่งมองไป ก็พบร่างของคนผู้นั้น
นอนคว่ำหน้า จมแอ่งน้ำบนพื้นแน่นิ่งไป
โค่วหย่งเทียนรวบรวมความกล้า เข้าไปฉุดลากร่างคนผู้นั้น ขึ้นจากแอ่งน้ำ
มายังต้นไม้ใหญ่ที่ตนใช้หลบฝน เมื่อพลิกดูเห็นเป็นชายชรา หนวดยาว ที่สะ
ดุดตาคือ กลับเป็นจอนสีขาวยาวที่ข้างหูดูแปลกตา โค่วหย่งเทียนบีบนวดตาม
ร่างกาย ของชายชราอยู่พักใหญ่ จึงค่อยมีสติฟื้นขึ้นมา
" ท่านตาเป็นเช่นไรบ้าง "
โค่วหย่งเทียนกล่าวด้วยความดีใจ เมื่อเห็นชายชรา ค่อยๆยันกายลุกขึ้น
นั่งพิงตนไม้ สบัดศรีษะไปมา ขับไล่ความมึนงงและเรียกความรู้สึกให้คืนกลับ
แล้วหันหน้ามาจ้องมองเด็กหนุ่ม
" เด็กน้อย เป็นเจ้าช่วยเล่าฮู้ ไว้ "
" ผู้เยาว์เพียงผ่านมาหลบฝน บังเอิญพบท่านตาโดนสายฟ้าฟาด
แล้วแน่นิ่งจมแอ่งน้ำ จึงพาท่านตา มาที่นี่ "
โค่วหย่งเทียนเมื่อกล่าวถึงสายฟ้า ด้วยสีหน้าวิตกกังวล
" ท่านตา ท่านโดนสายฟ้าฟาดเป็นเช่นใดบ้าง "
คราแรกชายชราเห็นเด็กหนุ่ม ต่างฝ่ายต่างถูกชะตาซึ่งกันและกัน
ชายชรากล่าวตอบเด็กหนุ่มว่า
" เล่าฮู้ มิเป็นอะไร "
โค่วหย่งเทียนรู้สึกประหลาดใจ ที่คนถูกฟ้าผ่าแล้วไม่ตาย หนำซ้ำยังลุก
นั่งพูดคุยได้ แต่ก็คลายใจที่ชายชราปลอดภัย
" คาดมิถึงเล่าฮู้ผ่านความเป็นตาย ฝ่าคมหอกคมดาบมานับมิถ้วน
กลับมาพ่ายแพ้ต่อโรคประจำตัว "
ชายชรากล่าวแล้วหยุดมองสายฝน เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้ว
เอ่ยขึ้นว่า
" เด็กน้อย เจ้าชื่อว่า อะไร "
" ผู้เยาว์ชื่อ หย่งเทียน "
" เราแซ่โค่ว นามชิวเสาะ "
" จริงซิท่านตาแซ่โค่ว เหตุใดท่านถูกฟ้าผ่าแล้วมิเป็นไร " เด็กหนุ่ม
ถามด้วยความสงสัย
ชายชรายิ้มแล้วกล่าวว่า
" เราศัยเจ้าสิ่งนี้ " พลางชี้นิ้วไปที่ดาบที่วางอยู่ข้างตัวมิไกล
เด็กหนุ่มจ้องมองไปที่ดาบเล่มใหญ่ ที่ฝักดาบมีลวดลาย เป็นรูปสายฟ้า
เด็กหนุ่มเหมือนจะถูกแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง จึงค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบดาบ
ชายชราเห็น เด็กหนุ่มจับดาบประคองเข้ามาส่งให้ตน จึงกล่าวด้วยความตกใจ
" เด็กน้อยเจ้ามิเป็นอะไร กระมัง "
เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้น จึงกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
" มีอันใดหรือท่านตา "
" น่าแปลก.. ยังมิเคยมีผู้ใดสามารถจับ ดาบตัดสายฟ้าได้ หรือว่า.." ชายชรา
พรืมพรำ พร้อมกลับยิ้มออกมาแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังฝ่าสายฝน
" เรามีผู้สืบทอดแล้ว ......ฮ่าาาาา "
อากัปกิริยาที่แปรเปลี่ยนของชายชรา แม้เด็กหนุ่มจะฉงนสงสัยปานใด
แต่เมื่อมองไปเบื้องนอกที่มืดมิด เห็นสายฝนเริ่มเบาบางลง จึงต้องอำลาชาย
ชรา รีบวิ่งฝ่าความมืดจากไป ชายชรายืนยิ้มอย่างพึงใจ ที่หลายสิบปีมานี้ ท่อง
เที่ยวตามหาทายาท รับช่วงวิชาฝีมือ แต่ก็มิพานพบผู้ใด ที่สามารถสัมผัสดาบ
ตัดสายฟ้าเล่มนี้ได้ แต่บัดนี้ได้พบแล้ว
" วันนี้กลับช้า สงสัยโดนลงโทษเป็นแน่แท้เรา " เด็กหนุ่ม รำพึงกับตัวเอง
ก่อนจะถึงประตูใหญ่หน้าบ้าน
เมื่อก้าวข้ามประตูเข้าไป สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตา คือน้ำที่เจิงนองบน
พื้นเป็นสีแดง สร้างความแปลกใจให้เด็กหนุ่มเป็นยิ่ง แต่เมื่อสังเกตุดู กลับมี
กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ที่ด้านข้าง ร่างคนเฝ้าประตูนอนจมกองโลหิต อยู่สอง
คน มองเข้าไปภายในเห็นคนรับใช้ชายหญิง เหล่าเฮีย ตี๋ เจ๊ม่วย ต่างนอนจม
กองโลหิตสิ้นใจ เจ้ม่วยบางคน ถึงกลับมีร่างเปล่าเปลือย ถูกย่ำยีก่อนโดนฆ่า
อย่างโหดเหี่ยมอำมหิต
" มารดา ..บิดา .. ท่าน.. "
เด็กหนุ่ม แทบสิ้นสติ น้ำตาหลั่งไหลปานทำนบแตก ร้องไห้คร่ำครวญกอด
ศพบิดามารดา หลังเที่ยวค้นหาอยู่ครู่ใหญ่ จึงมาพบร่างบิดานอนกอดร่างของ
มารดาเหมือนจะปกป้องอย่างสุดชีวิต มีกระเล่มยาวปักทะลุร่างของคนทั้งสอง
สิ้นใจภายใต้ กระบี่เล่มเดียวกัน
" ยังมีกากเดน หลงเหลืออยู่ตัวหนึ่ง " เสียงของชายคลุมหน้าชุดดำคนหนึ่ง
กล่าวขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคร่ำครวญกอดศพบิดามารดา ปานจะสิ้นใจ
มินานก็มีชายชุดดำอีกสิบคน ก็มาสมทบ ต่างจ้องมองดูเด็กหนุ่มหมาย
มั่นที่จะสังหาร
" เราจะส่งเจ้าไปอยู่กับบิดามารดาพี่น้องของเจ้า เอง "
พอเสียงกล่าวดังขึ้น กระบี่เล่มหนึ่งก็พุ่งอย่างรวดเร็วมุ่งไปยังเด็กหนุ่มผู้
กำลังคร่ำครวญ ไร้สติที่จะรับรู้สิ่งรอบกายว่า มีจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับตน
เห็นแน่ชัดว่าเด็กหนุ่มมิอาจที่จะรอดพ้นความตาย จะต้องติดตามญาติพี่ของ
ตนไปยังปรโลกเป็นแน่แท้ กลับมีเงาหนึ่งปรากฏวูบขึ้น รวบร่างของเด็กหนุ่ม
ทะยานหายลับฝ่าความมืดไปอย่างรวดเร็ว สร้างความตกใจแก่เหล่าชายชุดดำ
" มันเป็นผู้ใดกัน ฝีมือมิธรรมดา " หนึ่งในเหล่าคนชุดดำมองตามฝ่าความ
มืดไป
" มันมีท่าร่างว่องไวมาก พวกเราแยกกันติดตามหา
เป็นสิบทาง ก็ไร้ซึ่งร่องรอย "
" ปล่อยมันมีชีวิตชั่วคราวก่อน ตอนนี้เรานับว่าทำงานสำเร็จ พวกเราสลายตัว"
สิ้นเสียงชายชุดดำที่เป็นหัวหน้า ชายชุดดำทั้งสิบเอ็ดคนก็ หายลับไปกับ
ความมืด ทิ้งไว้แต่กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง จากซากศพร่วมร้อยกว่าชีวิต
สายฝน ที่โปรยปรายลงมาก่อเกิด เป็นสายธารโลหิต สีแดงฉาน
.........................................................................................................................................................
ห้าปีต่อมา
" ซู่...ซ่า.. ซู่่...ซ่า.. "
เสียงของน้ำตกขนาดใหญ่ ดังกระหึ่มดั่งเสียงมังกรคำราม นกกระเรียน
บินเวียนวนเคียงคู่ อยู่บนเวหา เสียงลิงป่าร้องกู่ เรียกหากัน ตะวันสาดแสง
อ่อนในยามเช้า บนหน้าผาน้ำตกอันสูงชัน ใจกลางป่าใหญ่ บุรุษหนุ่มหน้าตา
คมคายท่วงท่างามสง่าผู้หนึ่ง ยืนหลับตานิ่งประดุจเซียนผู้วิเศษ ที่มาโปรด
เหล่าสรรพสัตว์ในไพรพฤกษ์ ร่างที่ยืนสงบนิ่ง ประดุจดั่งมีรากฝังตรึงที่เท้า
เมื่อเคลื่อนไหว สิ่งที่มิคาดคิดก็บังเกิดขึ้น บุรุษหนุ่มผู้นั้นสูดลมหายใจคราหนึ่ง
แล้ว พลันกระโจนลงจากหน้าผาน้ำตกอันสูงชัน ไปสู่เบื้องล่าง ร่างนั้นถูกสาย
น้ำตกอันเชี่ยวกราด บ้าคลั่งรุนแรงกลืนหายไป หากมีผู้มาพบเห็นนี่คงนับว่า
เป็นการฆ่าตัวตายอย่างแน่ชัด หากจะคาดคำนวณจากความสูง สายน้ำที่เชี่ยว
กราด ทั้งเบื้องล่างใต้น้ำตก ยังมีโขดหินใหญ่น้อยมากมาย คงต้องจบสิ้นชีวิต
ด้วย กระแสน้ำตกก็บ้าคลั่งรุนแรง ไม่ก็ต้องจบสิ้นด้วยการกระแทก กับโขดหิน
มากมายเบื้องล่างเป็นแน่แท้
พลันปรากฏ ร่างของบุรุษหนุ่ม โผล่พุ่งออกมาจากน้ำตก ส่งเสียงร้องกู่
แล้วทะยานกลับเข้าไป ในกระแสน้ำตกอันเชี่ยวกราด อันมหึมาอีกครา ดุจ
ดั่งเห็นเป็นสถานที่เล่นสนุกก็มิปาน เปรียบประดุจพญามังกรเริงวารี โผทะ
ยานเข้าออกเช่นนี้ จนถึงเบื้องล่างของน้ำตก แล้วไปหยัดยืนอยู่บนโขดหิน
ก้อนหนึ่งอย่างมั่นคง นับว่าวิชาตัวเบา และพลังฝึกปรือล้ำลึกสูงส่ง จนน่า
แตกตื่นสะท้านโลก
ห่างออกไปอีกด้านบนโขดหินใหญ่ ใต้ต้นไม้ มีชายชราจอนสีขาว
ข้างกายมีดาบเล่มใหญ่ นั่งพิงต้นไม้มองดูด้วยสายตาชื่นชม ด้วยท่าที
ของผู้ป่วยอิดโรยไร้เรี่ยวแรง
" ท่านอาจารย์ "
บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจาก ขยับกายคราหนึ่ง ร่างก็เลือนหายแล้วมา
ปรากฏยังเบื้องหน้าชายชรา
" หย่งเทียน ห้าปีมานี้ นับว่าความเพียรพยายามของเราบรรลุผลแล้ว
เจ้ามิได้ทำให้อาจารย์ผิดหวังเลย "
ชายชราหรือดาบจอมภพ โค่วชิวเสาะกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
ภาคภูมิใจในศิษย์รักของตน
" นั่นเป็นเพราะท่านอาจารย์ ทุ่มเทสอนสั่ง ศิษย์ถึงมีวันนี้ได้ "
บุรุษหนุ่มนามหย่งเทียน คุกเข่ากล่าวด้วยความซาบซึ้ง ต่ออาจารย์
ผู้มีพระคุณ
" วิชาฝีมือของอาจารย์ เจ้าก็ได้เรียนรู้ไปจนหมดสิ้น
เรานับว่านอนตายตาหลับแล้ว " ดาบจอมภพกล่าว
ด้วยตลอดมา ดาบจอมภพ เป็นปรมาจารย์ดาบผู้หนึ่ง ภาคภูมิใจใน
ความสำเร็จของตน นับว่าเข้าสู่จุดสูงสุดของมรรคาบู๊ เสาะแสวงหาศิษย์
ที่จะมารับช่วงวิชาฝีมือจากตน แต่กลับมิมีผู้ใดเหมาะสม จวบจนมาพบ
เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายประสบกับความสูญเสีย โดนฆ่าล้างตระกูลผู้นี้ โดย
บังเอิญ นับว่าวิชาของตนมีผู้สืบทอดไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่เสียใจที่ตน
มิอาจจะเห็น ความสำเร็จรุ่งโรจน์ของศิษย์รัก เนื่องจากชีวิตของตนได้มา
ถึงวาระสุดท้ายด้วยโรคร้าย มิอาจยื้อชีวิตได้อีกต่อไป
" อาจารย์เสียใจที่มิอาจ จะเห็นความสำเร็จรุ่งโรจน์
ของเจ้าในภายภาคหน้า " ดาบจอมภพ เอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยอ่อน พร้อม
ทั้งกระอักโลหิตออกมาเป็นระยะ
" ท่านอาจารย์ ท่านต้องอยู่ต่อไป ดูหย่งเทียนล้างแค้นพวกคนชั่วช้า "
ผู้เป็นศิษย์กล่าวขึ้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า ด้วยรับรู้ถึงบุคคลอันเป็นที่รัก คนสุด
ท้ายในชีวิตของตนกำลังจะจากไป
" คนเราเมื่อมีพบย่อมมีพลัดพราก คราก่อนมิเข้าใจ
อืม..ตอนนี้เราเพิ่งมีความเข้าใจ "
เสียงของดาบจอมภพพรึมพรำอย่างอ่อนล้าแผ่วเบา
" อาจารย์ศิษย์จะพาท่านไปหาเทพโอสถ "
ผู้เป็นศิษย์ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ พร้อมขยับกายเข้าประคองผู้
เป็นอาจารย์ ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ดาบจอมภพยกมือห้าม ผู้เป็นศิษย์อย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมกล่าวว่า
" อาจารย์รู้ตัวดี ถึงมียาเม็ดต่อวิญญาณ ของโอหยางซุนก็มิมีประโยชน์ "
ดาบจอมภพเอ่ยขึ้นพร้อมกระอักโลหิตออกมากองโตอีกครา แล้วหันไปหยิบ
ดาบตัดสายฟ้า เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก ที่ได้ร่วมท่องเที่ยวต่อสู้จากเหนือจรดใต้
สร้างชื่อเสียงอันเกียงไกร จนสะท้านบู๊ลิ้มยุทธภพ ขึ้นมาจ้องมอง มืออันสั่น
เทาค่อยๆลูบครำ อย่างทะนุถนอมอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนจะเป็นการสั่งลาครั้งสุด
ท้ายจากนั้นยื่นส่งให้แก่ผู้เป็นศิษย์ แล้วเอ่ยสืบไป ว่า
" หย่งเทียนเจ้าจงเข้าสู่วิถีแห่งดาบ ร่ายรำดาบให้อาจารย์ดู
เป็นครั้งสุดท้าย ดาบตัดสายฟ้า เป็นของเจ้าแล้ว " พลางส่งมองดาบคู่ชีวิต
ให้แก่ศิษย์รัก
ผู้เป็นศิษย์น้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าประคองรับดาบตัดสายฟ้า ด้วยสองมือ
" ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ศิษย์จะมิทำให้ท่านอาจารย์ต้องผิดหวัง "
ทันที่สัมผัสดาบความรู้สึกอบอุ่นชนิดหนึ่่ง แผ่ซ่านผ่านตัวดาบเข้าสู่ร่าง
ของบุรุษหนุ่ม เป็นความอบอุ่นจากอาจารย์ไปสู่ศิษย์และจากดาบไปสู่คน
โค่วหย่งเทียนยืนตั้งท่าดาบ ชี้ไปยังเบื้องหน้า ชี้ลงยังพื้นดินจากนั้น
ตวัดดาบขึ้นเบื้องบนศรีษะอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นเกิดเป็นสายฟ้าสายหนึ่ง
แลบแปลบปลาบพุ่งเข้าหาตัว โค่วหย่งเทียนพลัน ตวัดดาบชักนำสายฟ้าที่
แลบติดตามดาบดั่งแม่เหล็ก แล้วร่ายรำกระบวนท่า ที่ได้รับถ่ายทอดมา จน
เปล่งประกายเป็นสีสันอันน่าชม ดาบจอมภพผู้เป็นอาจารย์มองดูด้วยความพึง
พอใจ
เสียงดัง ตูม..ตูม..
เมื่อโค่วหย่งเทียนลอยตัวฟันดาบไปยังน้ำตกที่เชี่ยวกราด สายน้ำที่
หลั่งไหลมาจากเบื้องบน พลันแตกกระจายแยกออกจากกัน จนมองเห็นผนัง
หินหลังม่านน้ำตก และโขดหิน ที่มีตะไคร่น้ำเกาะเขียวครึ้ม ที่วีถีดาบไปถึง
แล้วพลิกข้อมือ ตวัดดาบผ่าโขดหินขนาดใหญ่ ดาบจอมภพ ผงกศรีษะด้วย
ความพึงใจ เมื่อเห็นโขดหินใหญ่ก้อนนั้นถูกแบ่งออก เป็นสองซีกพื้นผิวราบ
เรียบเสมอกัน โค่วหย่งเทียน หมุนตัวลอยคว้างยกมือขวาตั้งฉากขึ้น แล้ว
ตวัดไปเบื้องหน้า ต้นไม้ขนาดใหญ่สองคนโอบ ต้นหนึ่งล้มครื้นลงขาด
เป็นสองท่อน
" หัถต์ดาบที่ดี "เสียงดาบจอมภพเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม
โค่วหย่งเทียนเก็บดาบสะพายหลัง แล้วยืนแน่นิ่งดวงตาเจิดจ้าจนเป็น
ประกายดาบ ตลอดทั้งร่างเปลี่ยนไป ดูคล้ายกับว่าเป็นดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
พุ่งตรงเข้าหาโขดหินก้อนใหญ่มหึมา เสียงระเบิดดังกึกก้องโขดหินใหญ่
แตกละเอียด กลายเป็นละอองฝุ่น เมื่อมาถึงตอนนี้ดาบจอมภพได้ สิ้นใจ
จากไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นสุข นี่้คือวาระสุดท้ายของปรมาจารย์ดาบ
ผู้ยิ่งใหญ่ นามดาบจอมภพ โค่วชิวเสาะ โค่วหย่งเทียนคุกเข่าลงด้วยน้ำ
ตานองหน้า ท้องฟ้าคล้ายวิปริตแปรปรวน ดั่งจะรับรู้ว่ายอดปรมาจารย์ดาบ
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมรรคาบู๊ ได้ลาลับไปจากโลกนี้แล้ว
หยกอันสูงส่งเลอค่า แม้จมอยู่ในปรักตม ย่อมมิอาจบดบังความเลอค่า
ยอดคนผู้ยิ่งใหญ่ แม้ลาลับ แต่คุณค่าความดี ย่อมมิอาจลาลับตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น