วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอน8 สายฟ้าพิโรษ 2



 
                                         สายฟ้าพิโรษ2


                     


              

       ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน โปรยปรายปรกคลุมทุกแห่งหน สายลม

อันเหน็บหนาว มิอาจจะทำให้เสียงกลองที่ดังสนั่นหวั่นไหว บนลานพยัคฆ์

ขาวนั้นมีวี่แวว ว่าจะสงบลงได้ กลับยิ่งทำให้จิตใจของผู้คน ร้อนระอุยิ่งขึ้น

เหล่าเชลย ถูกกวาดต้อนมายังขอบเวที ถึงเหงื่อกาฬไหลแตก เพราะชีวิต

ของพวกตน ดุจดังแขวนอยู่บนเส้นด้ายอันเปื่อยยุ่ย จะขาดลงตอนไหนก็

ย่อมได้ทุกเมื่อ  ยิ่งสมุนโจรนับหลายร้อยคนเข้าห้อมล้อมรอบเวที อีกชั้น

ยิ่งหวาดหวั่น  สายตาทุกคู่ต่างจดจ่ออยู่ที่คู่ต่อสู้บนเวที เสียงของจอมโจร

บัณฑิตสองหน้าอวี้เหวินกวนซี กล่าวเสียงดังขึ้น 


      "  เพื่อให้พวกเจ้าตาย อย่างสิ้นข้อกังขา จงรอดู
 ความพ่ายแพ้ของทารกน้อย ผู้โอหังผู้นี้  "


    กล่าวพร้อมชี้ไปยังโค่วหย่งเทียน ที่ยืนนิ่งอยู่กลางเวที บรรดาเหล่าสมุน

โจรต่าง โห่ปากร้องขับไล่ บางคนถึงขนาดขว้างปาสิ่งของ ใส่โค้วหย่งเทียน
 
ด้วยมิพอใจที่ บุรุษหน้าอ่อนที่บังอาจมาท้าสู้ เหล่าหัวหน้าค่ายโจร ผู้เกรียง

ไกรของพวกตน อย่างไม่เจียมตัว  

   
        ฝ่ายโค่วหย่งเทียน รู้ดีว่าตนขณะนี้แบกรับ ชีวิตความเป็นตายของเหล่า

เชลยไว้หลายสิบชีวิต  จำต้องสงบเยือกเย็น  อดทนฝืนกล้ำกลืนไว้


        จากนั้นจอมโจรบัณฑิตสองหน้า ได้กล่าวสืบไปว่า


           "  สำหรับหัวหน้าค่ายผู้ที่พ่ายแพ้  ในรอบก่อนแรก ถ้าผู้ใด
สังหารทารกนี้ได้ก่อน จะได้เข้ารอบต่อไป เป็นกรณีพิเศษ  "

   

     ด้วยว่าบรรดาเหล่าหัวหน้าค่ายโจร ที่ชนะมาในรอบแรกต้องการดู 

แนวทางฝีมือของโค่วหย่งเทียน  โดยเฉพาะวิชาจี้จุดที่ร้ายกาจ จึงได้

ตกลงเงื่อนไขพิเศษนี้ขึ้นมา ทางหนึ่งจุดประกายความหวัง ของเหล่า

หัวหน้าโจรที่พ่ายแพ้มา ในรอบแรกอีกครั้งในการที่จะชิงตำแหน่งประ

มุขสมาพันธ์   ทั้งหมดต่างรีบแย่งกัน คาดหมายเป็นคนแรกที่จะสังหาร

โค่วหย่งเทียน ชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ ความโกลาหลจึงได้เกิดขึ้น ต่างทุ่ม

เถียงกัน ต้องการเป็นคนแรกที่ได้ขึ้นบนเวที    

     นักพรตเต่ากระบี่เต่าดำจึงเสนอให้ใช้วิธี จับฉลาก เหตุการณ์จึงค่อย 

สงบลง นับว่าในหมู่โจร ยังรู้จักยอมรับในกติกาอยู่บ้าง ปรากฏว่าจอมโจร

พยัคทมิฬหูเป่ย ได้เป็นคนแรก ถึงกลับดีใจ จนหัวเราะลั่นออกมา

 


 " ฮ่า  ฮ่า  นับว่าโชคเข้าข้างข้าพเจ้า ขอภัยท่านทั้งหลาย ฮ่า ฮ่า "  

   

    ได้ยินเสียงจอมโจรดาบใหญ่ตรีทูต แค่นเสียงกร่นด่าฟ้าดิน ที่ทำให้ตน

ได้อันสุดท้ายคือคนที่ห้า 

    ด้วยการประลองรอบแรก ของจอมโจรทวนคู่สยบฟ้า ซ่งหลันกับจอมโจร

บัณฑิตสองหน้า ได้ยุติลงก่อนที่จะได้ตัวผู้ชนะ เหล่าหัวหน้าโจรทั้งหลายจึง

ยกประโยชน์ให้ทั้งคู่ ผ่านรอบแรกแบบอัตโนมัติ  จึงทำให้มีผู้ที่จับฉลากเพียง

ห้าคน   และแล้วจอมโจรพยัคฆ์ทมิฬหูเป่ย ก็กระโดดตีลงกา ขึ้นบนเวที ท่าม

กลางเสียงโห่ร้องสนับสนุนของเหล่าสมุนโจร



  " นับว่าคราวเคราะห์ของคุณชายโค่วแท้ๆ ที่ต้องเจอกับจอมโจรพยัคฆ์ทมิฬ 
ผู้สำเร็จหมัดพยัคฆ์แห่งเส้าหลิน  ฟังว่า หมัดของมันสามารถชกหมีควายตัว
ใหญ่ ให้ตายภายในหมัดเดียว  "

     เสียงของมือปราบ หวงซิงกล่าวขึ้น ด้วยสีหน้าหวั่นวิตก ทำให้สีหน้าเชลย

ทุกผู้คน ต่างพลอยหวาดหวั่นไปด้วยดุจกัน 


      "  นับว่าน้องแซ่โค่วเป็นผู้ มีจิตใจเข้มแข็งนัก แม้ตกอยู่
ในสถานการณ์เป็นตายยังรักษา ท่าทีไว้ได้ "

      คุณชายฉินเฉียวกล่าวชื่นชมขึ้น ต่อบุคลิคอันองอาจของโค่วหย่งเทียน


       
  "  อืม ถึงแม้จะดูทึ่มโง่เง่าไปบ้าง แต่ก็ขอชื่นชมจิตใจ  
ถ้าท่านตายเราจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้  "

     เสียงของบัณฑิตหน้าขาวกล่าวพรืมพร่ำ พลางมองไปยังโค่วหย่งเทียน

 ที่อยู่บนเวที

       

   ได้ยินเสียงของจางจี่ทรวง และเชลยบางคน สวดมนต์ภาวนาต่อพระยูไล 

ให้แสดงปาฏิหาริย์ ช่วยบุรุษหนุ่มอันเป็นที่รักของนาง ให้ได้รับชัยชนะ และ

สามารถช่วยทุกคนออกไป 



       ด้านบนเวที มีสมุนโจรผู้หนึ่ง นำห่อผ้า ไปให้โค่วหย่งเทียน ตามคำสั่ง

ของจอมโจรหัวเหล็ก ซึ่งคาดว่าบุรุษหนุ่มคงต้องจบ ชีวิตในเวลามิช้านี้เป็นแน่ 

จากนั้นค่อยฉกฉวยครอบครองยังมิสาย อีกทั้งยังต้องการดูว่า บุรุษหนุ่มผู้นี้จะ

ใช้สิ่งที่อยู่ในห่อผ้ายังไง    

 
   โค่วหย่งเทียนรับห่อผ้าซึ่ง ห่อดาบตัดสายฟ้าไว้ด้วยความยินดี มิคาดว่าจะได้

เจอกันเร็วปานนี้ บุรุษหนุ่มครุ่นคิดขึ้น พลางลูบห่อผ้าไปมา ดุจของรักที่จากกัน

ไปเนิ่นนานปีแล้วพลันมาพบพาน  สร้างความฉงนแก่ ผู้คน


     ดาบตัดสายฟ้าเป็นดาบที่ตกทอดมา จากดาบจอมภพอาจารย์ผู้ล่วงลับ เป็น

เสมือนหนึ่งสหายรัก ทั้งเป็นที่ระลึกให้นึกถึงพระคุณของผู้เป็นอาจารย์  แต่ไฉน

เล่าโค้วหย่งเทียน จึงบินยอมมอบดาบให้แก่ จอมโจรหัวเหล็กแต่ดี  เพราะโค้ว

หย่งเทียนรู้ดีว่า ระหว่างดาบกับคนนั้นสื่อถึงกัน แม้ว่าโค่วหย่งเทียนจะมิได้ไปหา

ดาบตัดสายฟ้า  มันก็จักมาหา โค้วหย่งเทียนเอง เป็นประดุจดั่งแม่เหล็กซึ่งเป็น

ความพิศดารของวิชา เทพอสนีบาต อันเป็นวิชาในคัมภีร์ลึกลับแต่โบราณ ว่ากัน

ว่าดาบจอมภพโค่วชิวเสาะ เป็นผู้ครอบครองคัมภีร์นั้น และบัดนี้ได้ถ่ายทอดมา

ยังโค่วหย่งเทียน ซึ่งได้แก่วิชาพลังเทพอสนิบาต อันเป็นพลังของฟ้าและดิน 

เหนือขีดจำกัดของมนุษย์ทั่วไป ด้วยการฝึกที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน  มีพลังทำลาย

ล้างรุนแรง ความรุนแรงจักปานใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้  อีกส่วนว่าด้วยวิชาดาบอัน

วิจิตรพิศดาร เหนือกว่าวิชาดาบใดในพื้นพิภพ  ผู้ที่ฝึกวิชานี้สำเร็จย่อมมีร่างกาย 

และจิตใจที่เข้มแข็งเหนือผู้คน   


      
     " เจ้าจะมัวยืนลูบคำห้อผ้าขี้ริ้ว หาสวรรค์วิมาน อีกนานเท่าใด  
บิดามิมีอารมณ์รอคอยนานนัก   "    

         
      เสียงจอมโจรพยัคฆ์ทมิฬ หูเป่ยร้องตวาดขึ้น พร้อมกระโดดเข้าหา ต่อยออก

ด้วยท่าพยัคฆ์ป่นศิลา น้ำหนักหมัดนับร้อยชั่ง เกิดเป็นเงาพยัคฆ์ขนาดใหญ่ พุ่งทะ

ยานเข้าหาโค่วหย่งเทียน  ดุจพยัคฆ์ตะปบเหยื่อ  

   ฝ่ายโค่วหย่งเทียนมิคาดว่า พยัคฆ์ทมิฬหูเป่ย พอเอ่ยวาจาก็ลงมือทันที รับรู้ถึง

พลังหมัดที่มาถึง  เสียงดังตูมสนั่นหวั่นไหว ขอบเวทีด้านหนึ่่งพังคลืนลง เศษไม้

เศษฝุ่นผง มวลหิมะแตกกระจาย คละคลุ้ง จนปิดบังร่างของคนทั้งสองไว้

  

     เสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าสมุนโจรดังกึกก้อง เมื่อเห็นอานุภาพพลังของหมัด

พยัคฆ์ทมิฬ  ฝ่ายเหล่าเชลยบางคน ถึงกลับหลับตา ต่อภาพที่เกิดขึ้น คาดว่าโค่ว

หย่งเทียนคงจบสิ้นแล้ว ชีวิตของพวกตนก็คงจบสิ้นลง ดุจเดียวกันในครานี้ บ้าง

ถึงกลับหลั่งน้ำตา ขุนนางตู้ฉวน และคนอื่นต่างส่งสายตา เป็นเชิงปลอบโยนเห็น

ใจ แก่สองพ่อลูกแซ่จาง  ที่ต้องมาสูญเสียบุตรเขยและสามี 


    "  ฮ่าฮ่า  จบเร็วเกินคาด เจ้าทารก มิเจียมตัว  "   เสียงของจอมโจรหัวเหล็ก

หัวเราะกล่าวขึ้น เมื่อเห็นอานุภาพของพลังหมัด ที่ซัดเข้าใส่โค่วหย่งเทียน  


      แต่เมื่อฝุ่นผงที่คละคลุ้งได้จางลง ปรากฏเห็นร่างหนึ่งฟุบแน่นิ่ง อยู่บนพื้น

เวที  อีกร่างหนึ่งยืนอยู่ห่างจากจุด ปะทะเจ็ดก้าว  ในมือคนผู้นั้นเป็นห่อผ้าเก่าๆ

ห่อหนึ่ง ยังคงมองที่ห่อผ้า พลางลูบคลำไปมา ราวกลับว่าเมื่อครู่ มิได้มีเรื่องราว

ใดเกิดขึ้น ผู้ที่ยืนอยู่นี้กลับเป็นโค่วหย่งเทียนนั่นเอง    
   

      เมื่อภาพได้ปรากฏชัดแก่สายตาของผู้คน ต่างต้องอ้าปากค้าง  เป็นภาพ

ที่กลายกลับจากห้วงมโนภาพ ที่ต่างวาดไว้ เหล่าโจรต่างพากันเงียบงัน เสียง

เหล่าเชลยกลับโห่ร้องด้วยความปีติยินดียิ่ง และแน่นอนว่า ผู้ที่ยินดีที่สุด ย่อม

ต้องเป็นสองพ่อลูกแซ่จาง   จางจี่ทรวงถึงกลับน้ำตาคลอ ที่เห็นชายคนรักยัง

ปลอดภัยดี ส่วนจางเจี้ยนจง บัดนี้ค่อยรับทราบถึงฝีมือ และมีความเชื่อมั่นต่อ

บุตรเขยของตนเพิ่มขึ้น  บรรดาเชลยบางคน ถึงกลับกล่าวขอบคุณ พระอยู่ไล

ที่แสดงปาฏิหาริย์  ให้บุรุษหนุ่มผู้เป็นความหวัง ของตนได้ชัยชนะ  แต่ทว่านี่

เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น  โค้วหย่งเทียนยังต้องสู้ต่อไป และต้องหยัดยืน

ให้จงได้ เพื่อทุกคน  แน่นอนว่า เพื่อนาง นางอันเป็นที่รักของตน จางจี่ทรวง
      
    
  
     ในขณะที่พลังหมัดพยัคฆ์โถมทับกดดันมา ด้วยพลังมหาศาลอย่างรวดเร็ว

คุกคาม จนโค้วหย่งเทียนมิอาจจะถอยได้ทัน  พลันเอนกายหันข้างอย่างรวดเร็ว

ใช้มือขวาทีกำลังลูบคลำห่อผ้า  ใช้ออกด้วยนิ้วดรรชนี จี้สกัดจุดไปที่ ช่องว่าง

ของหมัด ที่เปิดออกเพียงเสี้ยววินาที ในบริเวณช่วงท้องของพยัคฆ์ทมิฬหูเป่ย   

กว่าจะรู้สำนึกตัวว่า บุรุษหนุ่มเบื้องหน้าตนผู้นี้ มีพลังฝีกปรือที่เหนือกว่าตนอยู่

หลายขั้น ก็ถูกพลังสายหนึ่งชำแรกกาย ปิดสกัดจุดทั่วร่างล้มฟุบลง หากเปลี่ยน

จากดรรชนีจี้สกัดจุด เป็นดรรชนีสังหาร ฝ่ามือหรือเป็นคมกระบี่ ตนคงต้องจบสิ้น 

ภายใต้กระบวนท่านี้อย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ มิได้ต้องการเอาชีวิต

ตน ทั้งๆที่ตนมุ่งหมายล้างชีวิตอย่างมิยั้งมือ  

    เมื่อโค่วหย่งเทียนคลายจุดให้ ทั้งยังมิมีท่าทีอวดดี เมื่อเป็นผู้ชนะ  จากที่เคย

เหยียดหยามดูแคลน จิตใจค่อยๆเลื่อมใส และรู้สึกชื่นชมต่อบุรุษหนุ่มผู้นี้ขึ้นมา


    " ผู้เยาว์ ขออภัยผู้อาวุโสที่ล่วงเกิน "  โค้วหย่งเทียนประสานมือกล่าววาจา
ต่อจอมโจรพยัคฆ์ทมิฬ

        
     "  ผู้เยาว์..เราพ่ายแพ้เจ้าแล้ว.. "   พยัคฆ์ทมิฬหูเป่ย กล่าววาจาเพียงสั้นๆ

แล้วกระโดดลงจากเวทีไป


      ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคสั้นสั้น  แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า เป็นคำกล่าวที่มา

จากก้นบึ้งจิตใจ ของจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาซิงอันหลิง ค่ายพยัคฆ์พิโรธ

ผู้นี้ และรู้ว่าเป็นการพ่ายแพ้ ทั้งกายทั้งใจ   ด้วยตลอดชีวิต ของจอมโจรผู้นี้

นอกจากวัดเส้าหลินแล้ว มิเคยยอมรับนับถือผู้ใด   บัดนี้กลับเพิ่มบุรุษหนุ่มผู้

ไร้ชื่อเสียงนี้มา อีกผู้หนึ่ง


    เหล่าโจรต่างได้สำนึกว่า บุรุษหนุ่มผู้นี้มีวิชาฝีมือที่มิอาจจะดูแคลนได้ 

เสียงโห่ร้องของเหล่าสมุนโจรกลับไม่ค่อยดัง เหมือนกับคราแรก และค่อยๆ

ลดลงจนเกือบจะเงียบกริบ  เมื่อเห็นโค่วหย่งเทียนใช้ฝีมืออันรวดเร็ว รวบรัด

สยบหัวหน้าค่ายโจรลงทีละคน ถึงสี่คนภายในเวลาไม่กี่อึดใจ   ผิดกับเหล่า

เชลย ที่ตอนนี้ต่างส่งเสียง ที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ดังขึ้นเรื่อยๆ

ต่างส่งเสียงร้องเรียกชื่อ โค่วหย่งเทียน.. โค่วหย่งเทียน ..  อยู่มิขาด


        เหล่าหัวหน้าโจรถึงกับ หน้านิ่วคิ้วหมวด มิคาดว่าหัวหน้าค่ายโจรทั้งสี่ 

จะพลาดท่า อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้  


    ตอนนี้ถึงคราวที่ดาบใหญ่ตรีทูต ขึ้นเวที แม้จะหวาดหวั่นต่อฝีมือบุรุษหนุ่ม

อยู่บ้าง แต่ต้องปลุกปลอบใจตนเอง แผดเสียงตวาดอันดัง ตีลังกาขึ้นบนเวที



             "   เจ้าทารกน้อย นับว่าพอมีฝีมืออยู่ท่าสองท่า  "  

      คำกล่าวดังขึ้นเมื่อดาบใหญ่ตรีทูตหยัดยืนอยู่บนเวที ส่งสายตาอันดุดัน

หมายขู่ขวัญโค่วหย่งเทียน ที่บัดนี้ด้านหลังสะพายห่อผ้า ใบหน้าปรากฏรอย

ยิ้มออกมาเล็กน้อย   

          
                  "   เชิญผู้อาวุโส   "   โค่วหย่งเทียนกล่าวขึ้น 


        ดาบใหญ่ตรีทูต เมื่อมิอาจส่งสายตาขู่ขวัญบุรุษหนุ่มได้ กลับปรากฏ

รอยยิ้ม บนใบหน้าบุรุษหนุ่มมาแทน จึงเกิดโทสะร้องตวาดก้อง โถมดาบฟัน

หมายเผด็จศึกอย่างรวดเร็ว ใช้ออกถึงสามท่าติดต่อกัน อย่างรวดเร็วด้วยท่า

ถล่มตรีทูต ท่าตรีทูตคร่ำครวญ  ท่าตรีทูตถล่มธรณี ปรากฏเป็นเงาดาบอัน

มหึมาขนาดใหญ่สามสาย พุ่งเข้าหาโค่วหย่งเทียนด้วยพลังถึงสิบสองส่วน

นับว่าพลังรุนแรงหนักหน่วงดุดัน ครอบคลุมรอบด้าน เป็นการหล่อหลอมรวม

สามกระบวนท่าให้เป็นหนึ่งเดียว คือไม้ตายที่ดาบใหญ่ตรีทูต งำไว้ใช้ ตอน

คับขัน แต่ตอนนี้กลับใช้ออกมา ด้วยหวังใจที่จะช่วงชิงยอดหญิงงาม ทำให้

บรรดาหัวหน้าโจร  ถึงกลับต้องขมวดคิ้ว สงสัยว่าดาบใหญ่ตรีทูตมีกระบวน

ท่าดาบอันร้ายกาจถึงเพียงนี้  ใยมิใช้ออก เมื่อตอนคัดเลือกประมุขสมาพันธ์

ในรอบแรก เหตุใดจึงเพิ่งมาใช้ออก หรือว่าดาบใหญ่ตรีทูตมีจุดประสงค์อัน

ใดกันแน่ 


      จอมโจรดาบใหญ่ตรีทูตผู้นี้นับว่าร้ายกาจ เหล่าหัวหน้าโจรต่างครุ่นคิด  

แต่ทางหนึ่งกลับลอบดีใจ ที่จะได้เห็นบุรุษหนุ่มผู้โอหังนี้ ได้พ่ายแพ้ลง ล้าง

ความอัปยศให้แก่ชนชาวมิจฉาชีพ


    ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าเชลย และบรรดาสมุนโจร เมื่อเห็นเพลง

ดาบอันร้ายกาจของดาบใหญ่ตรีทูต พุ่งเข้าหาโค้วหย่งเทียน อย่างรวดเร็ว   

แต่แทนที่บุรุษหนุ่ม จะหลบเลี่ยงหรือทำประการใด กลับยืนนิ่งมิไหวติ่ง ดุจ

ประหนึ่งจะประคองศรีษะ รอรับคมดาบแห่งความตาย  


        " ช่างมีพลังสมาธิแน่วแน่ เยือกเย็นนัก  "  เสียงของนักพรตกระบี่เต่า

ดำสามสวรรค์  อดเอ่ยชมโค่วหย่งเทียนมิได้ พร้อมจับตาดูด้วยใจระทึก ว่า

บุรุษหนุ่มผู้นี้จะเอาตัวรอด จากกระบวนท่าดาบนี้ได้อย่างไร 

 
         ท่ามกลางความเงียบกริบ ลุ้นระทึกของทุกคน  เงาดาบใหญ่ได้บรรลุ

ถึงตัวโค่วหย่งเทียนแล้ว โค่วหย่งเทียน พลันใช้มือซ้ายที่ว่องไว เข้าหาเงา

ดาบใหญ่ตรงกลาง ที่โถมมาจากเบื้องบน   คีบจับคมดาบประดุจหยิบฉวย

ของเล่นก็มิปาน ดาบใหญ่อันเปี่ยมไปด้วยพลังทั้งชีวิต จนสามารถป่นศิลา

ให้ละเอียดเป็นผุยผง พลันหยุดชงักค้าง อยู่ที่มือของบุรุษหนุ่มจนมิอาจจะ

ฟันลงไปได้ ใบหน้าของดาบใหญ่ตรีทูต ยากที่จะบรรยาย เม็ดเหงื่อขนาด

โป้งเกาะเต็มใบหน้า มือที่เกาะกุมดาบสั่นระริก แม้ดาบใหญ่ตรีทูตจะเร่งเร้า

พลังจนสุดตัว ก็ยังมิอาจต้านทาน พลังสายหนึ่งที่ชำแรกเข้ามาดุจสายฟ้า 

ความรู้สึกยากจะทนทาน  แม้คิดจะปล่อยมือทิ้งดาบไปหลายครา แต่จะสู้

หน้าเหล่าบริวาร และจะหากินในเส้นทางมิจฉาชีพ ได้ต่ออีกไฉน จำต้อง

กล้ำกลืนฝืนทนขบกราม จนเส้นโลหิต สีเขียวปูดโปน ขึ้นเต็มใบหน้า  แต่

แล้วพลังที่ชำแรกมา ก็ค่อยๆหายไป พร้อมกับการปล่อยมือ ของโค่วหย่ง

เทียน  แต่ถึงกระนั้นสองมือ ของจอมโจรดาบใหญ่ตรีทูต ยังคงจับดาบค้าง 

อยู่ในท่วงท่าเดิม สองแขนสองขายังสั่นระริกมิยอมหยุดยั้ง

 
      เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกแก่บรรดาหัวหน้าโจรและทุกผู้คน  

คาดมิถึงบุรุษหนุ่มจะมีขวัญเทียมฟ้า ฝีมือประดุจเทพเซียน วาจาที่บุรุษหนุ่ม

ที่เคยกล่าวไว้ ที่พวกตนเคยหัวเราะเย้ยหยัน  บัดนี้ทุกผู้คนต่างรู้สึกว่าวาจา

นั้น   หาได้แปลกปลอมแต่อย่างใดไม่   
 

           "  ดูท่าพวกเรา คงเจอยอดฝีมือเข้าแล้ว "  

        เสียงของบัณทิตอี้เหวินกวนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


       
     " มิทราบว่าเจ้าเด็กนั่นใช้วิชาอะไร ไฉนพวกเราถึงดูมิออก " ทวนคู่สยบฟ้า
กล่าวขึ้น ด้วยใบหน้าอันบ่งบอกถึงความหนักใจ 


 
    "  เท่าที่ข้าพเจ้าสอบถาม  ต่อเหล่าหัวหน้าที่พ่ายแพ้แก่มัน  
ดูเหมือนว่า มันจะล่วงรู้ถึงจุดอ่อน วิชาฝีมือของพวกเรา  "  

       
        ฝ่ามือมหากาฬ  กล่าวขึ้นด้วยท่าทีฉงนสงสัย เพราะเคล็ดวิชาท่าไม้ตาย

ของแต่ละค่ายสำนักล้วน แต่เป็นความลับที่ปกปิดซ่อนเร้น ถ่ายทอดกันมาอย่าง

ยาวนาน จากรุ่นสู่อีกรุ่น ฉะนั้นความเข้มข้นของวิชา ย่อมเบาบางลงไปตามกาล

เวลา  เคล็ดวิชาชั้นสูงของบางสำนัก ล้วนหายสาบสูญ ไปกับคนรุ่นก่อน   โค่ว

หย่งเทียนนอกจากจะเรียนรู้ สุดยอดวิชาของดาบจอมภพแล้ว ยังเรียนรู้จุดอ่อน

ของท่าไม้ตาย ของแต่ละค่ายสำนัก เป็นสิ่งที่ดาบจอมภพถ่ายทอดให้มาทั้งสิ้น  

ด้วยหวังจะส่งเสริมให้ศิษย์ตนกลายเป็นยอดคนของบู๊ลิ้ม 

         
       
           "  เฮอะ จะอย่างไรมันก็แค่ เด็กน้อยผู้หนึ่ง แม้นมันฝึกวิชาฝีมือ

มาตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา พลังวัตรมันคง ไม่เกินยี่สิบกว่าปี   "    

      จอมโจรหัวเหล็กกล่าวขึ้น เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ แก่เหล่าหัวหน้าโจร 

ที่เริ่มจะระย่อต่อฝีมือบุรุษหนุ่ม ทำให้เหล่าหัวหน้าโจรต่างพยักหน้า รู้สึกใจ

ชื้น มองเห็นลู่ทางในการพิชิตบุรุษหนุ่ม  

   
    ครั้นแล้วจอมโจรกระบี่จงอางฝูหยง หันไปกล่าวกับจอมโจร หัวเหล็กว่า


     " ท่านพี่ทิ ในห่อผ้าของมันเป็นสิ่งใดกัน  " คำถามนี้ถึงกับทำให้เหล่า

บรรดาหัวหน้าค่ายโจร หันมาจับจ้องทิจื่อเหล็ง  รอคำตอบจากจอมโจรหัว

เหล็กเป็นตาเดียวกัน   
  

        "   เป็นดาบประหลาด เล่มหนึ่ง  "   จอมโจรหัวเหล็กเอ่ยตอบ


        "   มันประหลาดเช่นไร  "  จอมโจรแส้อสูรอ้าวผง กล่าวถามด้วย
ความสงสัย


      จอมโจรหัวเหล็กรู้ว่าตนได้พลั้งปากออกไป  ครุ่นคิดขึ้นถ้าตนขืนบอก

ความจริง ก็อาจจะทำให้เหล่าหัวหน้าโจรระย่อต่อ เชลยหนุ่มของตนยิ่งขึ้น

นี่ขนาดมันยังมิได้ใช้ดาบคู่มือมัน ยังสร้างความกริ่งเกรง ให้แก่เหล่าหัวหน้า

ค่ายโจรได้ถึงเพียงนี้  เราควรจะงำบางส่วนไว้ เมื่อคิดแล้วก็กล่าวออกไปว่า


        "  ดาบของมันแม้เล่มใหญ่ แต่น้ำหนักดาบกลับเบา นัก  "   


       
       "  อืม .เล่าฮู้อยากดูว่าเพลงดาบมันจะ ยอดเยี่ยมเพียงใด  "  เสียงของ

นักพรตกระบี่เต่าดำสามสวรรค์ดังขึ้น  พร้อมทั้งทะยานร่างดุจประกายไฟ พุ่ง

ขึ้นไป ปรากฏกายอยู่บนเวที  สะกดสายตาผู้คน ด้วยท่าร่างที่รวดเร็วของวิชา

ตัวเบาอันยอดเยี่ยม   


      


     

             
            กระบี่ที่ดีย่อมมีสำนึก หากควบคุมสำนึกกระบี่ได้ 
   อานุภาพกระบี่ย่อมกว้างไกล 

        จิตสำนึกมนุษย์ ที่ความคุมฝึกดีแล้ว ย่อมนำพา
  ความความสุข ความสำเร็จมาสู่ตน



   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น