วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอนที่ 5 : สมาพันธ์ แปดทิศ สิบสองค่ายโจร



                 
                    สมาพันธ์แปดทิศสิบสองค่ายโจร



                        
                               



      เชิงเขาลานพยัคฆ์ขาว อันเป็นที่ลาดโล่ง ขาวโพนไปด้วยหิมะปกคลุม  

เหล่าโจรน้อยใหญ่ ต่างทยอยกันมาชุมนุมจากทุกสารทิศ เนื่องด้วยวันนี้เป็นวัน

คัดเลือกหัวหน้าสมาพันธ์แปดทิศ สิบสองค่ายโจร เสียงขับร้องฟ้อนรำของเหล่า

สตรีโจร ทั้งสุราอาหาร สร้างความบรรเทิงแก่เหล่าโจรอย่างครื้นเครง


    เหล่าโจรทั้งสิบสองค่าย จากแปดทิศ นั้นเป็นการรวมตัวของคนหลายกลุ่ม 


ส่วนมากล้วนมาจากผู้ยากไร้ ในยุคที่บ้านเมือง มีการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจกัน

เหล่าราษฏรกลับอดอยากยากแค้น พวกพ่อค้าหน้าเลือด ต่างกักตุนสินค้า ปั่น

ราคาข้าวของจนแพงเกินความเป็นจริง หนำซ้ำยังถูกขูดรีดภาษีที่สูงลิ่ว บรรดา

พวกเหล่าขุนนางขาดธรรมมาภิบาลฉ้อฉลโกงกิน  สร้างความเดือดร้อนไปทุก

หย่อมหญ้า    


   จึงมีหลายพวกที่รวมตัวเป็นกองโจรออกปล้นชิง ในบรรดากองโจรเหล่านั้น  

มีทั้งที่ ชิงชังคับแค้นราชสำนัก บางพวกกลุ่มเป็นขั้วอำนาจเก่า บางพวกเป็น

โจรที่เหล่าขุนนาง จัดตั้งขึ้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์

    หลายครั้งที่เหล่าพวกโจรต้องต่อสู้กันเอง ด้วยขัดผลประโยชน์ บางครั้งต้อง

หลบหนีต่อสู้กับทางการ จนเกิดมีแนวคิดรวมกลุ่มเป็นสมาพันธ์แปดทิศ สิบสอง

ค่ายโจรขึ้น ทางหนึ่งเพือความอยู่รอด ของเส้นทางวิชาชีพโจร  ทางหนึ่งเพื่อ

ช่วยซึ่งเหลือกันและกัน ในยามที่ต้องต่อสู้กับทางการ ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่

มีการชุมนุมเลือกผู้นำ สมาพันธ์โจร ขึ้น



            "    คาระวะท่าน ท่านผู้เฒ่าหวัง  สบายดีหรือ...มิพบกันนาน  "  


      เสียง บุรุษสูงวัยท่วงท่าองอาจ แววตาดุจพยัคฆ์ร้าย สวมชุดหนังลาย
พยัคฆ์

 สะพายดาบหัวตัดเล่มใหญ่กล่าวทักทาย  บุรุษสูงวัยผมขาว รูปร่างเล็ก สวมชุด

 คล้ายบัณฑิตผู้หนึ่ง


            "  ท่านหยวนยังองอาจห้าวหาญเหมือนเดิม   "   บุรุษสูงงวัยแซ่หวัง
 ประสานมือกล่าวตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม 

     
      บุรุษสูงวัยทั้งสองคือ ดาบทลายภูผา หยวนเป่าเซิน หัวหน้าใหญ่แห่งค่าย

โจร เหนือฟ้าพยัคฆ์คำรณ ครองความชั่วร้ายทางทิศบูรพาและ ฝ่ามือมหากาฬ 

หวังซิ่วจง นายใหญ่ค่าย มังกรเขียวแห่งทิศอุดร



             " ท่านทั้งสอง มาอยู่ที่นี่เองเชิญท่านเข้าด้านใน  นายท่านและ
   นายใหญ่ทั้งเก้า กำลังรอพวกท่านอยู่   "


     เสียงของคนผู้หนึ่งดังมา พร้อมทั้งประสานมือคำนับคนทั้งสอง


   " ท่านรองขวาต้าไห่ นี่เอง ไม่เจอไม่กี่ปี ดูท่านเจริญก้าวหน้าขึ้นใช่มิน้อย "  
ฝ่ามือมหากาฬกล่าวขึ้นทักทาย กระบี่ไวต้าไห่ ผู้มาเชื้อเชิญ


         "  มิได้ .. ขอบพระคุณท่านหัวหน้าผู้เฒ่า หวัง  "   กระบี่ไวต้าไห่กล่าว
 ด้วยท่าทีประจบ


      เมื่อคนทั้งสามเข้ามาในลานพิธี ต่างเห็นหัวหนัาค่ายต่างๆ นั่งประจำที่ 

และตรงตามทิศตำแหน่งที่ตั้ง ของแต่ละค่าย  นับว่าผู้จัดงานมีความละเอียด

อ่อน  ดาบทลายภูผาเมื่อมองดูยังต้องเอ่ยปากชม  


           "  จัดงานได้เหมาะลงตัวทุกอย่าง  นี่เป็นฝีมือผู้ใด  "


  " เรียนหัวหน้าหยวน ล้วนเป็นฝีมืออันต่ำต้อยของผู้น้อยเอง "  กระบี่ไวต้าไห่
 กล่าวด้วยความยินดีนอบน้อมเมื่อมีผู้กล่าวชม


 " นับว่า ทิจือเหล็งโชคดี ที่มีท่านคอยช่วยเหลือ " ฝ่ามือมหากาฬกล่าวเสริม




  "   คาระวะท่านผู้เฒ่า หวังท่าน หยวน " เสียงของจอมโจรหัวเหล็กทิจือเหล็ง 

และเหล่าหัวหน้าค่ายโจร ต่างส่งเสียงทักทายกัน จากนั้นไถ่ถามสารทุกข์ เมื่อ

ดื่มกินกันพอสมควรแล้ว   จอมโจรหัวเหล็กทิจื่อเหล็งก็กล่าวขึ้นว่า


   "  ได้เวลาแล้ว ขอเชิญ ท่านหัวหน้า อวี้เหวิน กล่าว  "


    เมื่อได้ยินดังนั้นสายตา ทุกคู่ก็จับจ้องไปยังบุรุษวัยห้าสิบเศษ รูปร่างผอม

บางแต่งตัวคล้ายบัณฑิต ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งกลาง อันหมายถึงภาคกลางนั่น

เอง บุรุุษผู้นี้คือบัณฑิตสองหน้า อวี้เหวินกวนซี หัวหน้าใหญ่แห่งค่ายโจรมังกร

ชี้ฟ้า คนผู้นี้เป็นผู้มีความรู้เคยศึกษาเล่าเรียนมาจาก สำนักหงเหวินก่วน อันเป็น

สำนักการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ถัง  เนื่องจากเสื่อมศรัทธาต่อ ระบบขุน

นางที่เล่นการเมืองเล่นพรรคเล่นพวก จึงชักชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์ มาก่อร่าง

เป็นค่ายโจร มุ่งเน้นการปล้นขุนนางฉ้อฉลโกงกิน ในครานี้ บัณทิตสองหน้า เป็น

ผู้เสนอแนวคิดรวมสมาพันธ์  จนก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้น  หัวหน้าโจรค่ายต่างๆ

ล้วนให้ความนับถือ    


     " เหล่าพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์  บนเส้นทางผู้เหี้ยมหาญทุกท่าน
      ข้าพเจ้า อวี้เหวินกวนซี เป็นผู้มิเจียมตัว  ได้เสนอการรวมมือกัน
      จัดตั้งสมาพันธ์ แปดทิศ สิบสองค่ายโจรขึ้น  "


         เสียงของบัณฑิตสองหน้า กล่าว เกริ่นขึ้นในทำนองอ้าง ความดีความชอบ

ของตนเองก่อน แม้ผู้ที่นั่งฟังจะรู้สึกขัดหู  แต่มิมีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า บัณฑิตเป็นผู้มี   

วาทะศิลป์อันยอดเยี่ยม และแนวคิดก็เป็นประโยชน์ ต่อพวกตนมิน้อย จึงได้แต่จำ

นั่งฟัง   ถึงกระนั้นยังมีคนผู้หนึ่งอดส่งเสียงกล่าวมิได้


   "  ข้าเหม็นสาปกลิ่นหนอนตำราเหลือเกิน  รวบรัดเร้วกว่านี้ได้หรือไม่ ท่าน "  


           คนกล่าวคือหัวหน้าโจร ตะวันออกเฉียงเหนือ ค่าย พยัคฆ์พิโรธ ฉายา 

พยัคฆ์ทมิฬ หูเป่ย รูปร่างใหญ่โตล่ำสันไว้หนวดเครารุงรัง น่าเกรงขาม มีนิสัย

โหดเหี้ยม เป็นผู้สำเร็จวิชาหมัดพยัคฆ์ ของเส้าหลิน



  "  หูเป่ย เจ้าเงียบไว้ก่อน ฟังท่าน หัวหน้าอวี้เหวินกล่าวให้จบก่อน  "


    เสียงบุรุษศรีษะล้าน ห้อยลูกประคำเม็ดโต แต่งกายคล้ายหลวงจีน กล่าวมา 

สร้างความมิพอใจแก่พยัคฆ์ทมิฬ หูเป่ย


        "  โต้วม้อจือ ท่านก็เช่นกัน เครื่องแต่งกายท่านช่างขัดนัยตาเรานัก  
   เราขอร้องท่าน ใส่ชุดอื่นได้หรือไม่  "พยัคฆ์ทมิฬหูเป่ย แค่นเสียงกล่าว




   "  เราจะแต่งกายเยี่ยงนี้ มันหนักศรีษะ ส่วนไหนของเจ้า  " คนศรีษะโล้น
นามโต้วม้อจือ แค่นเสียงกล่าวตอบ    

      ก่อนที่ พยัคฆ์ทมิฬจะอ้าปากสวนขึ้น  ก็พลันมีเสียงหนึ่งดังมา


 "  เอาหล่ะท่านทั้งสอง มิต้องทุ่มเถียงกัน  ฟังท่านอวี้เหวิน กล่าวต่อเถิด "


  จอมโจรหัวเหล็กทิจือเหล็ง  กล่าวห้ามปรามและตัดบทขึ้น  ทำให้คู่กรณี

ทั้งสองจำต้องสงบปากคำลง บุรุษศรีษะโล้น คือจอมโจรแห่งค่ายทิศตะวัน

ออกเฉียงใต้ ดาบใหญ่ตรีทูต โต้วม้อจือ เดิมทีเป็นหลวงจีนวัดเส้าหลิน แต่

ด้วยทำตนเป็นอลัชชี หลอกลวงต้มตุ๋น ชาวบ้าน เสพสุรา เคล้านารี จึงโดน

ขับไล่ออกจากวัดเส้าหลิน ภายหลังก่อร่างสร้างตัว โดยอาศัย ดาบใหญ่ 

สามกระบวนท่า จนได้เป็นหัวหน้าค่ายโจรผู้หนึ่ง  ส่วนพยัคฆ์ทมิฬหูเป่ย  

อดีตเคยเป็นทหารเมื่อแม่ทัพโดนฆ่าตาย  จึงรวบรวมเหล่าพี่น้องตั้งเป็น

ค่ายโจรทั้งยังเป็นศิษย์ฆราวาส ของวัดเส้าหลิน  จึงมิพอใจต่อดาบใหญ่

ตรีทูต  ผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินเสียหาย ต่อเมื่อได้ยินเสียงห้าม

ปรามของจอมโจรเหล็กจึงสงบคำ ด้วยท่าทางมิค่อยพอใจนัก


   ฝ่ายบัณฑิตสองหน้า อวี้เหวินกวนซี เมื่อมีผู้มาขัดจังหวะการพูดของตน 

จึงหมดอารมณ์ที่จะกล่าวต่อประการใดอีก พร้อมทั้งส่ายหน้า ด้วยความระ

อา ต่อเหล่าโจรที่ด้อยการศึกษากว่าตน แล้วกล่าวขึ้นว่า



     " เอาเป็นว่า เรามาเริ่มคนเลือกหัวหน้าสมาพันธ์กันเลย
 ใครมีฝีมือสูงสุด 
ได้เป็นหัวหน้าสมาพันธ์พวกท่าน  เห็นว่าเป็นเช่นไร  "


   คำกล่าวเช่นนี้นับว่าสบใจ ต่อเหล่าหัวหน้าค่ายโจร ต่างเห็นพร้อมตกลงกัน   

โดยบัณฑิตสองหน้าเป็นผู้เสนอวิธีการคัดเลือก โดยการจับฉลาก แบ่งเป็นสาม

กลุ่ม กลุ่มละสี่คน   การคัดเลือกหัวหน้าสมาพันธ์จึงได้เริ่มขึ้น 



     

     ท่ามกลางเวทีต่อสู้  มีหัวหน้าโจรคู่หนึ่งยืนประจัญหน้ากัน เหล่าสมุนโจร

ต่างส่งเสียงโห่ร้องเชียร์ผู้เป็นนายของตัวเอง การประลองของกลุ่มที่หนึ่ง ระ

หว่างดาบใหญ่ตรีทูตโต้วม้อจือ กับกระบี่จงอางฝูหยงเจ้าแห่งค่ายโจรจงอาง

ทอง แห่งดินแดนประจิม  จอมโจรฝูหยง เป็นบุรุษวัยกลางคน รูปร่างองอาจ

สง่างาม อาศัยเพลงกระบี่จงอาง ตีกวาดเป็นใหญ่ทางทิศประจิม  ลักษณะ

ของกระบี่จงอาง กลับคดเคี้ยวประดุจอสรพิษ ปลายกระบี่ เป็นสองแฉกดุจ

ลิ้นอสรพิษร้าย ดูน่าหวาดหวั่น   

       ดาบใหญ่ตรีทูตร่ายรำ กระบวนท่าดาบตรีทูต ท่าที่หนึ่ง ถล่มตรีทูต 

ทะยานโถมเข้าฟันกระบี่จงอาง  ฟันออกหนึ่งดาบ ปรากฏเป็นเงาดาบอัน  

หนักหน่วง พร้อมทั้งพลังกดดัน เข้าหากระบี่จงอาง เป็นสามดาบ  

      ฝ่ายกระบี่จงอาง รู้สึกถึงพลังกดดัน โถมมาจากเบื้องบน จึงพลิ้วหลบ

ออกด้านข้าง พลางเร้าพลังเข้าสู่กระบี่ จนปลายกระบี่สั่นไหวระริก ปรากฏ

เป็นเงาอสรพิษส่ายหัวไปมา พุ่งเข้าหาดาบใหญ่ตรีทูต

   ดาบใหญ่ตรีทูตเมื่อตนเองจู่โจมผิดเป้าหมาย รับรู้ถึงพลังอันแหลมคมพุ่ง

มาจากด้านข้าง จึงใช้ปลายดาบสะกิดพื้น ดีดตัวตีหลังกาม้วนหลัง หลุดรอด

ปลายกระบี่อย่างเฉียดฉิว   ผู้คนต่างยืนตัวเกร็ง ลอบหวาดเสียวต่อกระบวน

ท่า อันร้ายกาจของคนทั้งสอง นับว่าฝีมือสูงส่ง  สมแล้วที่เป็นถึงระดับหัว

หน้าค่ายโจร


      "   เพลงดาบตรีทูต นับว่าร้ายกาจดุดัน   "

    บุรุษสูงวัยรูปร่างสูงโปร่ง แต่งตัวคล้ายนักพรตลัตธิเต๋า หลังสะพายกระบี่

สามเล่ม กล่าว


   "  เพลงกระบี่จงอาง พริ้วไหวเจ้าเหล่ห์ ร้ายกาจ  "   บุรุษใบหน้าสี่เหลี่ยม 
ตาเล็ก หลังสะพายทวนสีเงินสองเล่ม  กล่าวเสริม

      คนทั้งสองคือ นักพรตกระบี่เต่าสามสวรรค์  บ้อเซ่งเง็ก นายใหญ่ค่าย

 ผาเต่าดำ แห่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ สิบปีมานี้ ใช้เพียงหนึ่งกระบี่ พิชิตผู้ต่อ

ต้านยังมิเคยใช้สามกระบี่พร้อมกัน  มาครานี้เป็นตัวเต็งที่คาดว่า จะได้รับตำ

แหน่งหัวสมาพันธ์  อีกผู้หนึ่งคือทวนคู่สยบฟ้า ซ่งหลัน นายใหญ่ค่ายมังกร

สยบฟ้า แห่งทิศทักษิณ คนผู้นี้อาศัยทวนเงินคู่ ตีกวาดดินแดนภาคใต้ ที่แม้

แต่ทางการยังต้องกริ่งเกรงคนผู้นี้

    หัวหน้าใหญ่แห่งค่ายผาตรีทูต ดาบใหญ่ตรีทูตร่ายรำดาบ ขับเคี่ยวรุกรับ

กับกระบี่จงอางฝูหยง มาร่วมร้อยเพลง ก็ยังมิอาจตัดสินแพ้ชนะกัน  นับว่าฝี

มือสูสีก้ำกึ่งกัน  ดาบใหญ่ตรีทูตโดดเด่นด้านพลังดาบ กระบี่จงอางโดดเด่น

เรื่องท่าร่างและเพลงกระบี่ที่ว่องไว ถึงตอนนี้ดาบใหญ่ตรีทูตกระบวนท่าเริ่ม

เชื่องช้าลง เนื่องจากดาบแต่ละดาบเน้นพลัง ทอดเวลานานเข้าจึงสิ้นเปลือง

พลังลมปราณ นับว่าปรากฏฉายแววแห่งความพ่ายแพ้  ผิดกับกระบี่จงอาง 

ออกกระบี่ฉาบฉวยหมุนวน ใช้หลักการหนึ่งตำลึงปาดพันชั่ง ใช้อ่อนประแข็ง

ด้วยรู้ว่าด้านพลังของตนเป็นรอง

     เสียงแผดร้องด่า ของดาบใหญ่ตรีทูต ดังมาเป็นระยะด้วยความเดือดดาล

ที่มิอาจจะทำอะไร กระบี่จงอางได้


    "  ฝูหยง แน่จริงเจ้ามารับดาบใหญ่ของข้าตรง ดูสักหนเป็นไร  "


   เสียงของดาบใหญ่ตรีทูต ร้องกล่าวท้าทายด้วยโทสะ พร้อมทั้งร่ายรำเพลง

ดาบตรีทูตท่าที่สามตรีทูตถล่มธรณี อันหนักแน่น ด้วยพลังทั้งตัว กดดันด้วย

พลังดาบอันมหาศาล มุ่งหมายตัดสินชี้ขาดในกระบวนท่าเดียว

     

   "  ได้เลย พี่โต้ว ผู้น้องยินดีสนองตอบ แต่โปรดระวัง  "

        ยอดที่ฝีมือกำกึ่งสูสี ผลแพ้ชนะตัดสินอยู่ที่ สภาวะด้านจิตใจพลังสมาธิ   

กระบี่จงอางฝูหยง ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก เร้าพลังถึงสิบสองส่วนสบัดกระบี่ 

จนเกิดเป็นเงาจงอางขนาดใหญ่ ส่ายหัวไปมา เข้าต้านรับดาบตรีทูตโดยตรง  

มิฉาบฉวยเหมือนทุกครา ผู้คนที่เห็นว่ากระบี่จงอางฝูหยง มีแววแห่งชัยชนะ 

บัดนี้ทุกคนต่างมิมั่นใจ ต่างคิดว่าไฉนจึงละปมเด่นของตน  เข้าต้านรับพลัง

ดาบอันรุนแรงเช่นนั้น  เมื่อดาบกับกระบี่ประสานกัน ดาบใหญ่ตรีทูตพลันเห็น

รอยยิ้มที่มุมปาก ของกระบี่จงอาง มิทันคิดว่าเป็นเรื่องราวใด ความรู้สึกเหมือน

ตนได้โถมฟัน ไปยังพื้นที่อันว่างเปล่า ร่างกระบี่จงอางถูกฟันออกเป็นสองซีก  

ผู้คนต่างใจหาย นึกว่าจบสิ้นแล้ว  แต่พลันมีเงาอสรพิษเงาหนึ่งปรากฏขึ้น ฉก

กัดไป  ที่ไหล่ซ้ายของดาบใหญ่ จนปรากฏหยาดโลหิตหลั่งไหลออกมานั่นคือ

ท่าจงอางลอกคราบ  อันเป็นท่าไม้ตายของกระบี่จงอางฝูหยง นับว่าทราบผล

แพ้ชนะแล้ว


   " กระบวนท่าอันร้ายกาจ ข้าพเจ้าขอยอมแพ้ท่าน  " เสียงของดาบใหญ่ตรี
ทูตกล่าว ขึ้นด้วยยอมรับความพ่ายแพ้


              .......................................................................

   

       ทางด้านที่คุมขังนักโทษ ระดับสูง  จางจี่ทรวงถูกนำตัว ไปยังบึงมังกร 

โดยโค่วหย่งเทียนเป็นผู้โอบอุ้ม แม้จะเป็นสามีภรรยากัน ก็แต่เพียงในนาม 

ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดกัน ใบหน้าอันสวยซึ้งปรากฏเป็นสีชมพู

ระเรื่อ ได้ซบหน้าอกอันอบอุ่นของบุรุษหนุ่ม ด้วยความขวยอาย   สองแขน

ที่ขาวเนียนราวหยก เกี่ยวคล้องคอบุรุษที่ตนฝากชีวิตไว้ กลิ่นจากเส้นผม

ของนางยามต้องลม โชยกลิ่นหอมมาพาให้จิตใจผู้คนต้องกระเจิดกระเจิง 

เส้นผมกระจายไปมา ยิ่งขับเน้นความงดงามบนใบหน้าอันสวยซึ้งของจาง

จี่ทรวง  จนโค่วหย่งเทียน ให้รู้สึกวาบหวามรัญจวนใจ   อ้อมแขนอันแข็ง

แกร่งของโค่วหย่งเทียน โอบกระชับแนบแน่น ประหนึ่งจะมิยอมให้นาง

พรากจาก แม้แต่สักวินาทีเดียว  ยิ่งเพ่งพิศใบหน้าอันงามซึ้ง ยิ่งแม้แต่

หายใจ ก็มิอยากจะละบายออกมา กลัวว่าจะพัดพาพรากนางจากตนไป

     ในห้วงคำนึงของโค่วหย่งเทียน ขณะนี้รู้สึกว่าในโลกนี้ มีเพียงตนและ

นางสองคน เพียงสองคนเท่านั้นก็นับว่าเพียงพอ  จางจี่ทรวงเมื่อเห็นบุรุษ

หนุ่มอันเป็นที่รัก จับจ้องมายิ่งขวยอาย นางขยับริมฝีปากอันจิ้มลิ้มบางๆ 

กล่าวแก้ขวยเขินขึ้นว่า


         "  ท่าน..มองหน้าผู้อื่น ทำไม หรือ.."

   

     "  ข้าพเจ้า มิเคยคิดฝัน ว่า..."   โค่วหย่งเทียนกล่าวขึ้นแล้วหยุด


       จางจี่ทรวง ทำหน้าฉงนแล้วเอ่ยว่า


       "  ท่านมิเคยคิดฝัน ว่าอะไร... "


          "  ข้าพเจ้ามิเคยคิดฝันว่า จะได้โอบอุ้มนางสวรรค์ ที่สะคราญโฉม
เช่นท่านไว้ ในอ้อมกอดเช่นนี้  " โค่วหย่งเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 
         "  ท่าน...กล่าวยกยอผู้อื่นเกินจริงแล้ว "    


     เสียงจางจี่ทรวงกล่าวด้วยความขวยเขิน หลบสายตาอันหวานซึ้งของชาย

คนรัก พลางใช้มือน้อยๆของนางทุบไปที่ไหล่ ของโค่วหย่งเทียนสองคราแล้ว

ซบใบหน้าที่เปี่ยมด้วยอิ่มเอม ลงตรงหน้าอกของโค้วหย่งเทียน  ในขณะที่ทั้ง

สองกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก   มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ปลุกคนทั้งสองเข้า

สู่ปัจจุบัน



  " นำนางลงไปแช่น้ำ นี่คือบึงมังกร " เสียงสมุนโจรกล่าวขึ้นเมื่อมาถึงบึงมังกร

แล้วจากไป บึงมังกรเป็นสถานที่หวงห้าม ผู้เข้าได้ต้องได้รับอนุญาติจากหัวหน้า

ค่ายก่อน รอบนอกมียามรักษาการเข้มงวด

     
   อันบึงมังกรนี้ เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่อดีตฮ่องเต้ในรัชวงศ์ฮั่นทรงเสด็จ

ผ่านมาสรงน้ำ ณ ที่แห่งนี้ผู้คนจึงเรียกบึงแห่งนี้ ว่าบึงมังกรนับแต่นั้นมา   ด้วย

ความเชื่อว่า ถ้าใครได้ แช่กายในบึงมังกร  โรคภัยอาการบาดเจ็บต่าง จะทุเลา

เบาบางลง จนกระทั่งสามารถอันตธารหายไปได้กับราวปาฏิหาริย์  ตอนนี้กลับ

ตกเป็นสมบัติของค่ายโจร


     ที่ริมบึงมังกร  โค่วหย่งเทียนยืนหันหลังให้จางจี่ทรวง  โดยมีพวกสมุนโจร

คุมเชิงอยู่ด้านนอกมิไกลนักสภาพของนางตอนนี้ สวมใส่อาภรน้อยชิ้นแช่อยู่ใน

น้ำอันอบอุ่น มีไอควันพวยพุ่งขึ้นบางๆ เรือนร่างอันสมส่วนงดงาม ที่เปียกน้ำ 

เผยให้เห็นผิวพรรณอันผุดผ่อง ราบเรียบละลานตาปานหิมะหยก   เป็นภาพที่

ติดตาโค่วหย่งเทียน  ก่อนที่จะหันหลังให้แก่นาง โค่วหย่งเทียนรู้สึกร้อนผ่าว

วาบหวาม จนต้องระงับความฟุ้งซ่านนั้นด้วยการทบทวนเคล็ดวิชาต่างๆ ของ

ตน   พลันมีเสียงกลองดังมาจากเบื้องนอก ได้ยินสมุนโจรสนทนากัน


 " ตอนนี้ได้ประลอง คัดเลือกหัวหน้าสมาพันธ์กันแล้ว " โจรคนหนึ่งกล่าวขึ้น


       "  ข้าได้ยินว่า รอบแรก ดาบใหญ่ตรีทูต หัวหน้าค่ายผาตรีทูต พ่ายแพ้
 ต่อหัวหน้าค่าย กระบี่จงอางทอง  "   โจรคนที่สองกล่าวตอบ

 

           " แต่ข้าได้ยิน มาว่าพยัคฆ์ทมิฬ หูเป่ยปะมือ กับนักพรตกระบี่เต่าสาม
สวรรค์ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ขอยอมแพ้  "   โจรคนที่สามกล่าวขึ้นด้วยท่า
ทางตื่นเต้น


    " ไฮ้..  นักพรตกระบี่เต่าำดำ ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว แล้วหัวหน้าของพวก
เราเป็นไงบ้าง  "  โจรคนแรกร้องโพล่งขึ้นด้วยเป็นหวงหัวหน้าตน



        "  ท่านหัวหน้าของเรา ใช้พลังมารเกาะทอง เอาชนะกระบี่ คุนลุ้นของ
  ฉิวอ้าวทง แห่งผาหมื่นเมฆา  "  โจรคนที่สามกล่าวด้วยความภาคภูมิใจใน
  ผู้เป็นหัวหน้าของตน


  "  แล้วคู่อื่นผลเป็นยังไงบ้าง   รีบกล่าวมาอย่าชักช้า "  โจรคนที่หนึ่งกล่าว
เร่งรัดด้วยความกระหายใคร่อยากรู้   โจรคนที่สามจึงกล่าวไปว่า



  " คู่อื่นก็ มี  ดาบทลายภูผาชนะ กระบี่หัวซานเตียวทูฟง แห่งผาซ่อนมังกร

    ฝ่ามือมหากาฬ หวังซิ่วจงชนะ แส้อสูรอ้าวผง  ทวนสยบฟ้า ซ่งหลันกับ

    บัณฑิตสองหน้า  อวี้เหวินกวนซี มิรู้ว่าใครเป็นผู้ชนะ ท่านหัวหน้ารองต้า

    ไห่ ใช้ให้ ข้ามาที่นี่ซะก่อน   "  


  พอมันกล่าวจบ ก็แยกเขี้ยวแก่ เพื่อนโจรอีกสองคน บ่นพรึมพรำแช่งด่า 

ด้วยความเสียดาย



                  
              บนเส้นทางโจร มิทราบว่าจะลงเอยเช่นไร

                   หากเลือกได้ ใครเล่าอยากเป็นโจร

         แต่มิว่าจะกล่าวเช่นไร ในความเห็นผู้คน โจรย่อมเป็นโจร

                  ดุจความมืดสว่าง ดีชั่ว มิอาจอยู่ร่วมกัน

     
                                  
       

ตอนที่ 7 : สมาพันธ์ แปดทิศ สิบสองค่ายโจร


ตอนที่ 7 : สมาพันธ์ แปดตอนที่ 7 : สมาพันธ์ แปดทิศ สิบสองค่ายโจรทิศ สิบสองค่ายโจร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น