วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอนปฐมบท สายธารโลหิต



                                ดาบคลั่งโลหิต



   บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ เลือดต้องล้างด้วยเลือด     ดาบคลั่งโลหิต ดาบธรรมดาที่มิธรรมดา ด้วยผู้ใช้มิธรรมดา   ด้วยบุรุษผู้มีชีวิตเพื่อฆ่า

     ความหลังอันคับแค้น  บัญชีโลหิตนี้จะคิดจากผู้ใด .......





                                                                     



                                                    ตอนสายธารโลหิต





                         




         ในยุคปลายสมัย พระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้   พระนาง บูเช็กเทียน เรืองอำนาจ 

  ในราชสำนัก มิมีผู้ใดกล้าต่อกรกลับพระนาง เมื่อสิ้นพระเจ้าถังเกาจง พระนางทรง


  แต่งตั้งฮ่องเต้ และปลดฮ่องเต้ ตามอำเภอใจ  ภายในสองปี แต่งตั้งและปลดฮ่องเต้


  ถึง สองพระองค์ คือพระเจ้าถังจงจงและพระเจ้าถังรุ่ยจงสร้างความมิพอใจให้แก่ผู้คน


  เป็นอันมาก  แต่มิผู้ใดกล้าปริปาก คล้อยตามอยู่ขัดขวางตาย  เมื่อสิ้นยุคของพระนาง


  บูเช็กเทียน   อำนาจในราชสำนักตกเป็นของเหวยฮองเฮา ผู้คิดที่จะยิ่งใหญ่เยี่ยงพระ


  นางบูเช็กเทียน ทำให้บ้านเมืองราชสำนักยิ่งวุ่นวายระส่ำหนักขึ้น 



       


                   ตำหนักของอดีตฮ่องเต้ ถังรุ่ยจง  หลี่ตั๋น



                

        ขณะที่พระองค์กำลังสวดมนตร์ อยู่นั้นทรงได้ยินเสียงแหลมเล็กของขันทีผู้หนึ่ง

ดังแว่วมา

        


                          "  องค์หญิงไท่ผิงทรงเสด็จมา เพคะฝ่าบาท "    



                         "    อืม   "



             "     ถวายบังคมเสด็จพี่   "


                                 

     เสียงขององค์หญิงไท่ผิงผู้เป็นพระขนิษฐานของพระองค์ผู้ทรงศิริโฉม ท่าทีละม้าย

คล้ายพระนางบูเช็กเทียนผู้เป็นพระมารดา ตรัสมาว่า 


                  "  ลมอันใดถึงได้หอบองค์หญิงไท่ผิงมาถึงตำหนักเรา  "  


               พระเจ้าถังรุ่ยจงหลี่ตั๋นตรัส พลางเสด็จออกมาจากห้อง สวดมนต์



                     "  หม่อมมีเรื่องร้อนใคร่ปรึกษาเจ้าพี่   "    



     องค์หญิงไท่ผิงกล่าวด้วยความรุ่มร้อน คำแรกก็มุ่งเข้าสู่จุดสำคัญ  พระเจ้าถังรุ่ยจง


หลี่ตั๋นอดีตฮ่องเต้นิ่งฟังอย่างสงบ เมื่อองค์หญิงไท่ผิงทรงตรัสต่อไปว่า


              "  ตอนนี้องค์ฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์  เหวยฮองเฮาคิดจะแต่งตั้งตัวเองเป็น


จักรพรรดินี  เลียนแบบเสด็จแม่ หม่อมฉันมาด้วยการนี้เพค่ะ   "



        พระเจ้าถังรุ่ยจง หลี่ตั๋น ทรงพระพักษ์เคร่งขรึม พลางลูบหนวดยาวสีขาว ตรัส


ตอบอย่างเฉื่อยชา

        "   แล้วองค์หญิงคิดเห็นเช่นไร   "



" แผ่นดินต้าถัง ตระกูลหลี่เราสร้างมา จะให้คนแซ่คนอื่นครอบครองได้อย่างไรกัน "


   

   องค์หญิงไท่ผิงกล่าวด้วยความโกรษกริ้ว เมื่อนึกถึงอำนาจ จะต้องตกไปเป็นของ

บุคคลอื่น  



       เมื่อได้ยินดังนั้น พระเจ้าถังรุ่ยจง หลี่ตั๋น ทรงหลับตาพลางสั่นพระเศียรตรัสว่า



" อำนาจล้วนมิเข้าใครออกใคร เหวยฮองเฮาช่างเป็นไปได้ พี่เองเบื่อหน่ายเต็มที "



 " ไฉนพระองค์ ทรงรับสั่งเช่นนั้น เมื่อเสด็จพี่ฮ่องเต้ ถังจงจง ยังทรงพระชนน์อยู่นั้น
    เหวยฮองเฮาและพรรคพวกยิ่งเหิมเกริม เมื่อสิ้นองค์ฮ่องเต้แล้ว บ้านเมืองยิ่งระส่ำ
    เดือดร้อน ไปทุกหนแห่งยิ่งกว่าเดิมผู้คนต่างมิพอใจราชสำนัก  ขอพระองค์ผู้เคย
    เป็นอดีตองค์ฮ่องเต้ ทรงกอบกู้บ้านเมืองในครานี้ด้วยเถิดเพค่ะ   "   

   ถังรุ่ยจงหลี่ตั๋น  แล้วทรงตรัสขึ้นด้วยใบหน้าหนักอึ้งครุ่นคิด ขึ้นว่า

     
       "  แล้วผู้พี่จะลอง ใคร่ครวญดู  "     


                    " เรื่องนี้สมควรเร่งด่วน  หม่อมฉัน ทูลลาเพค่ะ "    



        เมื่่อพระขนิษฐาของพระองค์เสด็จกลับ   พระเจ้าถังรุ่ยจง ทรงหลับตานิ่งอยู่


ครู่หนึ่งคล้ายสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากจิตใจ ในตอนนี้คล้ายหลวงจีนตะบะกล้า


ผู้ละโลกีย์วิสัย แล้วทรงสวดมนต์ต่อ 


   อดีตฮ่องเต้ผู้นี้ หลังจากที่ถูกพระนางบูเช็กเทียนปลดจากบัลลังก์ คล้ายพระองค์


ทรงท้อแท้สูญเสียกำลังใจ หมดความกระตือรือร้น ในเรื่องราวทั้งปวง เพียรแต่หัน


หน้ามุ่งสู่พระธรรม  

       องค์หญิงไท่ผิงทรงเป็นราชธิดาองค์เล็ก ขององค์จักรพรรดิ์ถังเกาจงและพระ


นางบูเช็กเทียน เมื่อทรง พระเยาว์  เคยเสด็จติดตาม อยู่ข้างกายพระมารดา จึงทรง


ซึมซับบุคคลิกนิสัยใจคอ ของพระนางบูเช็กเทียน พระองค์ทรงเห็นถึงความมีอำนาจ


บารมีของพระมารดา ยิ่งใคร่อยากสัมผัสในอำนาจนั้น แต่จำต้อง เก็บงำไว้ในพระทัย 


ของพระองค์เองอย่างเงียบๆ เสด็จแม่ของพระองค์เป็นจักรพรรดินีได้ ไฉนพระองค์


จะเป็นมิได้ 


      เมื่อรู้ว่าผู้เป็นพระเชษฐาหลี่ตั๋น มินำพาสนใจในการช่วงชิงราชอำนาจ  พระองค์


จึงทรงลอบติดต่อขุนนางอย่างลับลับ สะสมขุมกำลังของพระองค์เอง  เกลี้ยกล่อม


เหล่ายอดฝีมือในบู๊ลิ้มไว้ในสังกัดมากมาย กระจายตัวอยู่ในสถานที่ต่างๆเพื่อมิเป็น


จุดเด่นแก่สายตาจนสะกิดความสนใจของราชสำนัก  ยอดฝีมือที่โดดเด่นที่สุด ของ


องค์หญิงไท่ผิงคือ  ดาบตัดสายฟ้าโค่วหย่งเทียน ว่ากันว่า ดาบตัดสายฟ้าสามารถ


ตัดสายฟ้า  ตัดสายน้ำให้ขาดจากกัน ลงมือรวดเร็วรวบรัด ไร้ร่องรอย  เป็นผู้ที่่องค์


หญิงไท่ผิงทรงโปรดปราน ไว้วางพระทัยเป็นอย่างยิ่ง



     ระหว่างทางที่เสด็จกลับไปยังตำหนัก จันทร์ส่องหล้า อันตั้งอยู่นอกพระราชฐาน


 ที่พระนางบูเช็กเทียน ทรงสร้างให้ในพระอุทยานชมจันทร์ เมื่อสิ้นพระมารดา องค์


หญิงไท่ผิงก็ทรง ประทับอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้เรื่อยมา ภายนอกดูว่าอยู่สันโดษ ภายใต้


ความสันโดษนั้น แท้ที่จริงแล้ว กลับเป็นขุมกำลังที่กล้าแข็งกลุ่มหนึ่ง

   

       ในขณะที่จะพ้นประตูเสียนอู่  มีเสียงควบม้าดังมากลุ่มหนึ่ง


             "    ถวายพระพรเสด็จอา   "  



            

   
      เสียงของผู้มาเป็นบุุรษผู้ขี่ม้าขาว ใบหน้าขาวราวหยกท่วงท่า มีอำนาจสง่าราศรี

 สวมชุดเลิศหรู บ่งบอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ก้าวลงจากหลังม้า ประสานมือ


คาระวะ  เหล่าทหารองค์รักษ์ขบวนเสด็จต่าง หยุดนิ่งตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อรักษา


ความปลอดภัย ครั้นรู้ว่าผู้มาเป็นใครจึงหลีกทางให้


        

        "  ผู้หลาน หลงจี๋ ขอถวายพระพรเสด็จอา และน้อมส่งเสด็จอากลับตำหนัก
พะยะค่ะ  "  


           "    หลงจี๋  หรอกหรือ มีแต่เจ้าที่เป็นห่วงเสด็จอาผู้ชรา ผู้นี้   "  


           


      ผู้มาคือองค์ชายสาม หลี่หลงจี๋  แห่งพระเจ้าถังรุ่ยจง เมื่อองค์ชายหลี่หลงจี๋มา


ถึงหน้าเกี้ยวที่ประทับ ก็คุกเข่าคำนับ  แล้วกล่าวขึ้นว่า


     "  เสด็จอายัง ทรงพระสิริโฉมงดงามดังจันทร์เพ็ญ


 ผิวพรรณผุดผ่อง เทียมฟ้า พระย่ะค่ะ  "



 " เจ้าช่างประจบเอาใจคนแก่นัก ผิดกับพี่ชายทั้งสองของเจ้า " องค์หญิงไท่ผิงตรัส


ขึ้นอย่างพอพระทัย

   
   " ครานี้ผู้หลานลงใต้ ได้ของวิเศษมาถวายเสด็จอาพะยะค่ะ "องค์ชายสามหลงจี๋

กล่าวขึ้นพร้อมทั้งถวายตลับสี่เหลี่ยมสีทองขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อองค์หญิงไท่ผิงทรง


ทอดพระเนตร ดวงตาพลันเป็นประกายด้วยความยินดี มององค์ชายสามหลงจี๋ด้วย


ความพอพระทัย 
           
                  "  เจ้าลุกขึ้น  ตามอาไปที่ตำหนัก  "

               

     เมื่อองค์ชายสามลุกขึ้น ก็เห็นองค์รักษ์ ผู้หนึ่งหน้าตาคมคาย ยืนเคร่งขรึมน่าเกรง

ขามสะพายดาบเล่มใหญ่  ท่วงท่าองอาจคล้ายชาวบู๊ลิ้มยุทะจักร ต่างจากทหารองค


รักข์ทั่วไป อยู่ด้านข้างเกี้ยวประทับ  


           "  นี่คือองครักข์โค่ว  "    องค์หญิงไท่ผิงทรงตรัส



         

           " โค่วหย่งเทียน คำนับองค์ชายสาม  " โค่วหย่งเทียนรีบประสานมือคารวะ

 องค์ชายสามหลงจี๋ มองดูท่าทางขององครักข์หนุ่ม คล้ายคุ้นตา แต่กลับนึกไม่ออก


 ว่าเคยพบพานโค่วหย่งเทียนที่ใด ขณะจะกล่าววาจาใดพลัน มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

       

               "   มีคนร้าย อ๊าก..กก  "


       เสียงทหารนายหนึ่งดังมา เสียงร้องเพิ่งเปล่ง ศรีษะก็ขาดกระเด็นโลหิตพุ่งไป


ทุกทิศทาง ส่งกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ทหารอีกสี่นายล้มลง แน่นิ่ง โดยมิทันเปล่ง


วาจาใด  นับว่าคนร้ายที่ลงมือเป็นยอดฝีมือ ชั้นแนวหน้าของบู๊ลิ้ม


     

                      "    ถวายการอารักขา   "



        เสียงหัวหน้าองครักข์ ร้องสั่ง ทหารองค์รักษ์ ทั้งแปดคนล้อมเกี้ยวองค์หญิง


ไท่ผิงเพื่ออารักขาหน้าขบวนเสด็จ พลันปรากฏชายชุดดำคลุมหน้าสี่คน หนึ่งนั้นมือ


ถือกรงจักรร้อยด้วยโซ่เหล็กยาว ที่แปดเปื้อนด้วยคราบโลหิตแดงฉาน คนที่สองหลัง


สะพายกระบี่ยาว ดูออกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงกระบี่ผู้หนึ่ง คนที่สามถือกระบองยาว


ด้านหัวเป็นรูปมือทองเหลืองชูสองนิ้ว  คนที่สี่ถือคันเบ็ดปลายแหลม เมื่อทุกมองดู


อาวุธอันแสนแปลกประหลาดของคนทั้งสี่  ต่างรู้ได้ว่า เจอกับมารร้ายนอกสารระบบ


ที่กล้าแข็งเข้าแล้ว 


       "  พวกเราจะเอาชีวิต องค์หญิงไท่ผิงเพียงผู้เดียว 

  ผู้มิคิดตาย จงไสหัวหลีกไป  "  


     คนถือกงจักรร้องประกาศเป้าหมายการมาของพวกตน  พร้อมทั้งใช้ลิ้นอันใหญ่


หยาบตวัดเลีย โลหิตสีแดงที่ติด ตามคมอาวุธของตน  สร้างความสะเทือนขวัญและ


ชวนคลื่นเหียน อาเจียนแก่ผู้คน


     "  เจ้าสี่ เจ้าจะ เลียจนถึงเมื่อไหร่ ฆ่า พวกมัน   "คนชุดดำที่หลังสะพายกระบี่ 


กล่าวด้วยความรำคาญ 



     "  เฮอะ .. กงจักรพรากวิญญาณ มิเคยปราณีใคร"  มันแค่นเสียงกล่าวแล้วซัด


อาวุธคู่มือออกไป  



       กงจักรลอยเข้าหาทหารองครักษ์ผู้หนึ่ง  แล้วครอบคลุมลงบนศรีษะ จากนั้น


ศรีษะก็ขาดกระเด็น กระตุกสายโซ่คราหนึ่งก็ปลิดศรีษะทหารองครักข์ผู้หนึ่ง กงจักร


ของมันคล้ายยมทูตคร่าวิญญาณ ที่มิมีผู้ใดแข็งขืนต้านทาน ทหารองครักข์ฝีมือกล้า


ผู้หนึ่ง แม้ว่าจะใช้ดาบต้านสุดชีวิต ก็มิอาจทนทานกับพลังกดดัน ที่ถาโถมกดทับมา


ราวภูเขาของกงจักรเหินบินพรากวิญญาณ เพียงได้ยินเสียงร้อง ศรีษะก็ขาดกระเด็น


ไปอีกผู้หนึ่ง การลงมือของมันเพียงผู้เดียว รวดเร็วเพียงแค่อึดใจเดียว ก็ปลิดชีวิต 


ทหารองค์รักษ์ฝีมือดีไปนับสิบคน   มารร้ายชุดดำทั้งสาม ต่างส่งเสียงหัวเราะลั่น


ด้วยความพึงพอใจ ในฉากเข่นฆ่าสังหารของผู้เป็นน้องเล็ก


         หัวหน้าองครักษ์  เมื่อรู้ว่าผู้มาเป็นยอดฝีมือจึง ร้องสั่งเหล่าทหารห้อมล้อม


 คนชุดดำทั้งสี่ไว้  

       
       

      "    สี่  อสูรใจทมิฬ    "  



  เสียงอุทานขององครักข์เคราครึ้ม ผู้ตามติดตามองค์ชาย หลี่หลงจี๋  นาม หวังเจี๋ย 



      "  สีอสูรใจทมิฬ  คือผู้ใด  "  องค์ชายตรัสถาม  



    "เป็นมารร้ายนอกด่าน พระยะค่ะ  ชื่อเสียงโหดเหี้ยมชั่วร้าย ถือดีว่ามีฝีมือกล้าแข็ง


 มิเกรงกลัวผู้ใด  "  องครักข์อีกคนนาม ซกโฮ้วกล่าวตอบองค์ชาย


   

                "  ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ   "


    " พวกข้าพเจ้า ทั้งสี่  ร่วมกัน ลงมือต่อผู้ใดผู้หนึ่ง

ในสี่อสูรใจทมิฬ จึงจะมีโอกาสได้ชัย  "  

      ซกโฮ้ว กล่าวตอบด้วยล่วงรู้ ถึงขีดความสามารถของพวกตนตามตรง


   



 "  ต้องใช้พวกเจ้าสี่คน สู้กับอสูรทมิฬ ผู้หนึ่ง ถึงจะมีโอกาศ ชนะ  "


      องค์ชายกล่าวแล้วเหลียวมอง สี่องครักษ์ คู่ใจ 



      "  เป็นเช่นนั้นองค์ชาย "  



       คนทั้งสี่กล่าวขึ้นพร้อมกัน องครักข์ทั้งสี่คนคือ ซกโฮ้ว  หวังเจี๋ย  จูเฉิง อู่ซือ   


 คนทั้งสี่ ล้วนมีฝีมือกล้าแข็งที่สุดในหมู่องครักข์ ขององค์ชายหลี่หลงจี๋   


        



    จากนั้นองค์ชายจึงโน้มกายไปยังเกี๋ยวที่ประทับขององค์หญิงไท่ผิง แล้วตรัสว่า  



   " เสด็จอาวางพระทัย หม่อมฉันจะอารักขา เสด็จอาด้วยชีวิตหม่อมฉัน  พะยะค่ะ "



       "  ขอบใจเจ้านักหลงจี๋  "  องค์หญิงไท่ผิงทรงตรัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 หาได้มีความหวาดหวั่นตกพระทัยแต่อย่างใดไม่ สร้างความแปลกใจแกองค์ชายหลี่


 หลงจี๋  การลอบสังหารเช่นนี้ นับว่ามีมาหลายครั้งครา องค์หญิงไท่ผิงจึง ทรงชาชิน


 ย่อมมิหวั่นวิตกอีก ทั้งเมื่อมีสุดยอดฝีมือเช่นโค่วหย่งเทียนอยู่ข้างกายพระองค์ ยิ่งรู้


 สึกปลอดภัย ดุจมีทหารเป็นกองทัพ     


    โค่วหย่งเทียน จ้องมองดูเหล่าทหารองค์ ที่เข้าประมือกับ สี่อสูรใจทมิฬ ซึ่งลงมือ


แล้วเนื่องด้วยผู้มาเป็นยอดฝีมือ จึงมิกล้าที่จะออกห่างจากเกี้ยวที่ประทับ  ด้วยมิวาง


ใจ จะมีผู้หลบซ่อน คอยหาโอกาสอยู่อีกหรือไม่ ทั้งยังสังเกตุ แนวทางฝีมือของสี่ 


อสูรใจทมิฬ  ใคร่ครวญหาช่องโหว่

   


      สี่อสูรใจทมิฬ ครองความชั่วร้ายอยู่นอกด่าน ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมเลื่องลือถึง 


 ตงง้วน มียอดฝีมือต้องจบชีวิตด้วยด้วยน้ำมือของสี่ อสูรใจทมิฬ อย่างมากมาย  มิมีผู้


 ใดกล้าตอแย เพียงได้ยินชื่อต่างเข็ดขยาด ขวัญผวา   ผู้เป็นพี่ใหญ่คืออสูรวารีโลหิต 


  เหม็งงัก  ด้วยมันนิยมชมชอบการตกเบ็ด เหยื่อที่มันใช้กลับเป็นเนื้อมนุษย์  อาวุธคู่มือ


  คือคันเบ็ดปลายแหลม  ต่อมาคือสูร มือทอง จูฉู่จง นิยมในอิสตรีมักมากในกามราคะ   


   มันฆ่าอาจารย์ตนเองเพียงเพราะพึงใจในสตรีของอาจารย์   มิว่าสตรีนั้นจะเป็นภรรยา


  บุตรตรีของผู้ใด ถ้ามันหมายตาแล้ว มิอาจรอดพ้นมือมัน  

         

      อสูรกระบี่ปีศาจ เหอเหลียนฮันเซีย มันนิยมชมชอบการฆ่าคนให้ตาย อย่างทรมาน

 เลือดเย็น ถ้ามันจะลงมือ มิมีผู้ใดล่วงรู้  กระบี่ปีศาจของมันน่ากลัวยิ่ง   อสูรเหินบิน


 ทูฟาเยว่ กงจักรพรากวิญญาณ   เป็นอาวุธที่คู่มือร้ายกาจของมัน  ยามลงมือ มิเคย


 ปลาดเป้าหมาย  มันจะมีความสุขเมื่อ มันเห็นโลหิตสดสดนับได้ว่าพวกมันเป็นเหล่า


 ผู้วิกลจริตอย่างแท้จริง


     อสูรทั้งสี่สิ่งที่พวกมันชอบเหมือนกันคือ แต่งกายด้วยชุดสีดำ ดำสนิท ครั้งนี้พวก


 มันมาปรากฏตัวที่เมืองหลวง นับว่าสร้างความแตกตื่นให้แก่ผู้คน เหล่าทหารล้มตาย


 ไปหลายสิบคน ก็มิอาจแม้แต่สร้างขีดข่วน ให้แก่สี่อสูรแม้แต่ริ้วรอยเดียว นับว่าฝีมือ


 สูงส่งร้ายกาจสมดั่งคำเล่าลือ  


     "   องค์ชาย ข้าพระองค์ขอฝากองค์หญิง ไท่ผิงด้วย  " เสียงของโค่วหย่งเทียน


  กล่าวขึ้น พร้อมทะยานร่างออกไป   



         "  องครักษ์โค่วลงมือแล้ว  "   เสียงองค์หญิงไท่ผิงตรัสมา



     


    "  เสด็จอาทรงวางพระทัย องครักข์ ของหม่อมฉันพอจะรับมือพวกมันได้  "  


     องค์ชายหลงจี๋ กล่าวขึ้นเพื่อให้องค์หญิงไท่ผิงคลายพระทัย แม้จะรู้ว่าองครักข์


ของพระองค์ สี่คนเพียงรับมืออสูรใจทมิฬ ได้เพียงคนเดียว 


       "  อืม  มิเสียแรง เราตั้งใจจะสนับสนุนเจ้า "  เสียงองค์หญิงไท่ผิงทรงตรัสมา



         เมื่อองค์ชายหลงจี๋ ได้ยินดังนั้น ถึงกับคุกเข่าคำนับ พระนาง 



        "  หลงจี๋ จะไม่ทำให้เสด็จอา ต้องผิดหวัง   "


    " เจ้าลุกขึ้นเถิดคอยชม ฝีมือองครักข์โค่ว เราเองก็ไม่

ได้ชมเพลงดาบตัดสายฟ้า มานาน "


     

     

     "  เพลงดาบตัดสายฟ้า  ท่านหัวหน้าองครักข์โค่ว 

เป็นทายาทดาบจอมภพโค่วชิวเสาะ หรือนี่  "  

   องครักข์รูปร่างกำยำหลังสะพายดาบ นามจูเฉิง กล่าวขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้น  ด้วยว่าตน


เป็นผู้ใช้ดาบคนหนึ่ง  โค่วชิวเสาะนับได้ว่าเป็นเทพเจ้า แห่งดาบที่ไร้เทียมทาน  ที่ผู้ฝึก


ดาบเทิดทูลยึดถือ ปราถนาใคร่ไปจุดสูงสุดแห่งวิถีจอมดาบ เช่นเดียวกับดาบจอมภพ 


ครั้งนี้ได้มาเจอทายาทดาบจอมภพโค่วชิวเสาะ นับว่าสร้างความ ตื่นเต้นยินดีเป็นที่ยิ่ง
    


      อสูรวารีโลหิต  ใช้คันเบ็ดแทงคอหอยเหล่าองครักข์ อย่างรวดเร็วแม่นยำ อสูรมือ


ทองใช้อาวุธมือทองของมัน แทงใส่ดวงตาขององครักข์ ทะลุกระโหลกคนแล้วคนเล่า


เมื่อมันทิ่มแทงไปยังที่ใดจะปรากฎ เป็นรูสองรูที่มาจากนิ้วทองสองนิ้ว อสูรกระบี่ปีศาจ


ร่ายรำกระบี่ปานจักรผัน เงากระบี่วูบวาบ ทั้งส่งเสียงประหลาด สร้างความรู้สึกหลอนรุก


ไล่ รองหัวหน้าองค์รักข์ อยู่ในสภาพทุลักทุเล  รองหัวหน้าองค์ผู้นี้แม้เป็นยอดฝีมือ แต่


เพียงประมือก็ตกเป็นรอง ได้แต่ตั้งรับป้องกันถอยร่นตลอดเวลา ในสภาพคับขันร่อแร่ 


 เพียงไม่ถึงหนึ่งกระบวนท่า คาดว่าคงต้องทอดร่างไร้วิญญาณแน่แท้ ด้านอสูรเหินบิน


 ขว้างกงจักรพรากวิญญาณ สังหารเหล่าทหารอย่างเมามัน อสูรทมิฬทั้งสี่ขณะกำลังบุก

ฝ่าแนวเหล่าทหารเข้ามา  เบื้องหน้าพลันปรากฏพลังอันร้อนแรงกำลังพุ่งมา  เมื่อทั้งสี่

หันไป  ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งทะยานมา   ถึงเบื้องหน้าพวกตนแล้ว

   มารร้ายทั้งสี่ต่างรู้สึก มีพลังกดดันอันมหาศาล เกิดเป็นสายวิชุแลบ แปลบปลาบสี่


สายพุ่งเข้าหาพวกตนอย่างรวดเร็ว  อสูรทมิฬทั้งสี่ ต่างใช้อาวุธคู่มือของตนเข้าต้าน


ทาน จึงค่อยหลุดพ้นสภาวะ  กระนั้น ยังมีลมปราณชนิดหนึ่ง ได้แทรกเข้ามาจนเจ็บ


ปวด ราวถูกสายฟ้าฟาด รู้สึกเลือดลมติดขัด ใบหน้าขาวซีดบ่งบอก ถึงอาการบาด

เจ็บภายใน


 " เจ้าหนู เจ้าเป็นอะไรกับดาบจอมภพ โค่วชิวเสาะ  "   เสียงอสูรวารีโลหิต ร้อง


กล่าวมาด้วยความตื่นตระหนก แต่ยังปั้นหน้าถมึงทึง



         

                             "   ท่านผู้เฒ่าเป็นอาจารย์ ผู้ล่วงลับของผู้เยาว์เอง   "    

         โค่วหย่งเทียนที่ยืนตั้งท่าถือฝักดาบไปด้านหน้าเข้าหาคนทั้งสี่ กล่าวตอบ



            

         อสูรทมิฬทั้งสี่ เมื่อได้ยิน ต่างหน้าถอดสี เมื่อได้เจอเพลงดาบตัดสายฟ้า ซึ่ง

เป็นดาวข่มของพวกมันเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ออกมาอาวาด ดินแดนตงง้วนจนปั่นป่วน 


สะเทือนบู้ลิ้ม กลับมีชายผู้หนึ่งถือดาบใหญ่เล่มหนึ่่ง ร่ายรำเพลงดาบเพียงหนึ่งกระ


บวนท่า ก็สยบพวกมันทั้งสี่อย่างง่ายดาย ทั้งได้บังคับให้สาบาน มิให้เหยียบย่างข้าม


กำแพงเมืองเข้าสู่ดินแดนจงหยวนอีกต่อไป


         สิบกว่าปีมานี้สี่อสูรทมิฬ ต่างคร่ำเคร่งฝึกฝนวิชา  รอเวลาที่จะกลับมาลบล้าง


ความอัปยศ ในครั้งนั้น  เมื่อรู้ว่าดาบจอมภพ ดาวข่มของพวกมันได้เสียชีวิตไปแล้ว 


นับว่าสร้างความยินดีแก่พวกมัน  อีกทั้งได้มีผู้เชื้อเชิญ  เสนอให้ลาภยศอิสตรีแก่


พวกมันเสพสุข จากผู้มีอำนาจในวังหลวง ภายในไม่กี่เดือนมีขุนนางตงฉินหลายคน


เสียชีวิตไปอย่างลึกลับ ล้วนเกิดจขึ้นจากน้ำมือของพวกมัน  มาครานี้รับคำสั่งให้สัง


หารองค์หญิงไท่ผิง  นับว่าเป็นงานที่พวกมันถนัด และชื่นชอบ แต่ครานี้กลับตรงกัน


ข้าม

     สี่อสูรใจทมิฬมิคาดว่า จะได้พบกับทายาทของดาบจอมพบ   ซึ่งดูบุรุษหนุ่มผู้นี้


จะมีฝีมือที่กล้าแข็งล้ำลึก มิแพ้ดาบจอมภพผู้เป็นอาจารย์   สิบกว่าปีที่แล้วพ่ายแพ้ 


ด้วยกระบวนท่าเดียว มาครานี้ยังต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวกันอีก  ต่างรู้สึกท้อ


แท้ จับจ้องมองดูดาบ ที่อยู่ในมือของบุรุษหนุ่ม 

    เมื่อครู่ตอนปะทะกัน มิทันมองว่าฝ่ายตรงข้ามได้ชักดาบ ออกมาหรือไม่ หรือใช้


เพียงใช้แต่ฝักดาบเท่านั้น สี่อสูรทมิฬรู้ดีว่าถ้าดาบหลุดจากฝักเมื่อใด นั้นหมายถึงชีวิต


ของพวกตนต้องจบสิ้น  ในเมื่อสู้มิได้ ยังคงหาทางถอยจึงจะประเสริฐกว่า  

  

                
               อ๊าก...กก  เสียงทหารองค์ที่หน้าเกี้ยวประทับล้มลง มีคนชุดดำอีกกลุ่ม 

ทะยานจากสองข้างทาง มุ่งหมายไปยังเกี้ยวที่ประทับขององค์หญิงไท่ผิง ทหารองค


รักข์ทั้งสี่ขององค์ชายหลงจี๋ ต่างเข้าต้านทานกับคนชุดดำกลุ่มใหม่ โค่วหย่งเทียน 


รับรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ยังมีพวกมือสังหารซุ่มซ่อนอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จาก


สองข้างทาง จึงทะยานกลับไปยังที่เกี้ยวประทับ นับว่าสี่อสูรทมิฬ รอดตายอีกครา


           

               



                      อสนิบาตเลื่อนลั่น หมู่มารหลบลี้ ทะยานไกล









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น