วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอน3 มังกรเคลื่อนกาย





                         
                        มังกรเคลื่อนกาย


                                   
                                 



     ยามอาทิตย์อัสดงใกล้ลาลับขอบฟ้า มินานปีกแห่งราตรี ก็คลี่กาง ถ่างสีดำ

เข้าปกคลุมความมืดมิดเข้ามาแทนที่ ทั่วทุกแห่งหน

    บนยอดเขาสูงเทียมฟ้า มีบุรุษผู้หนึ่ง นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลุมฝังศพ เบื้องหน้า


หลุมฝังศพ มีศิลาขนาดใหญ่   สลักอักษรไว้ด้วยพลังดาบที่ลึกล้ำ ว่า

   

 
                "      เทพแห่งดาบ ดาบจอมภพ  โค้วชิวเซาะ

                     จากศิษย์  โค่วหย่งเทียน ด้วยความอาลัยยิ่ง  "


           
      นับได้หนึ่งเดือนเต็ม  ที่โค่วหย่งเทียน เฝ้าหลุมศพของผู้เป็นอาจารย์ ถึงแม้


อากาศบนยอดเขา เย็นยะเยียบเหน็บหนาว จนเสียดกระดูกสักปานใด บุรุษหนุ่ม

ยังคงคุกเข่านิ่งมิไหวติง โดยมิได้แยแส ใส่ใจต่อสภาพอากาศรอบข้าง ว่าจะแปร

เปลี่ยนไปเช่นไร  วันนี้โค่วหย่งเทียนนั่งคุกเข่า อยู่เป็นเวลานานและนานยิ่งกว่า

วันใด ด้วยจิตกตัญญู สำนึกในพระคุณของดาบจอมภพผู้เป็นอาจารย์  เนื่องจาก

วันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่ตนตัดสินใจลงเขา เพื่อสะสางหนี้บัญชีโลหิตของตระกูล

                   
     หวนคิดถึงเมื่อห้าปีก่อน อาจารย์ช่วยเหลือให้รอดพ้น เงื้อมมือของมัจจุราช 


 จากชายชุดดำทั้งสิบเอ็ดคน ที่ลงมือเข่นฆ่าสังหาร ล้างคนทั้งตระกูลของตน

 อย่างเหี้ยมโหดอำมหิต โดยมิเว้นแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงสักตัว    

     
   ในทุกๆวันของตนจะถูกใช้ ไปด้วยการฝึกฝนและฝึกกฝน วิชาดาบ วิชาต่างๆ


ที่ผู้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดมาเท่านั้น ด้วยจิตอันมุ่งมั่น หวังว่าเมื่อสำเร็จ สุดยอด

วิชาเมื่อใด นั่นย่อมหมายถึงเวลาชำระความแค้น ในยามค่ำคืนตนมักต้องผวา

ตื่นกลางดึก ด้วยภาพอันน่าสยดสยอง ของซากศพผู้คนมากมายเสียงของบิดา

มารดาและเหล่าญาติพี่น้องร่ำร้อง  ให้แก้แค้นๆอยู่ทุกค่ำคืน

         
         "   หย่งเทียนเจ้าต้องแก้แค้นให้พวกเราด้วย  "

      ภาพซากศพของคนนับร้อยนอนสิ้นใจเกลื่อนกลาด ยังติดตามิรู้ลืม นับเป็น


แรงผลักดัน ให้ฝึกฝนหนักขึ้นกว่าคนทั่วไปอีกสิบเท่า  หายใจเข้าออกทุกยาม

จดจ่ออยู่กับวิชา อย่างเอาเป็นเอาตาย จึงทำให้ตนก้าวหน้าอย่างเร็ว สร้างความ

พึงใจให้แก่ดาบจอมภพโค่วซิวเสาะผู้เป็นอาจารย์ยิ่ง 

       
    โค้วหย่งเทียนรู้ดีว่า แม้ตนจะมิใช่ยอดอัจฉริยะ แต่ที่ตนมีฝีมือก้าวหน้าอย่าง


รวดเร็ว เพราะความพากเพียรอย่างหนัก หลายครั้งที่โดนสายฟ้าฟาด ในขณะที่

ฝึกดาบตัดสายฟ้า หลายครั้งที่โดนกระแสอันเชี่ยวกราดของน้ำตกพัดพา ร่างกระ

ทบโขดหิน ได้รับบาดเจ็บแทบสิ้นชีวิต สำลักน้ำมานับครั้งมิถ้วน

   การฝึกวิชาหนึ่งๆนับว่ามิใช่เรื่องง่ายดายเลย ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงสุดยอดวิชา ยิ่ง

ฝึกฝนยากลำบากกว่ามากมาย หลายเท่านัก แต่จะอย่างไรเล่าตนก็สามารถฝึก

ฝนจนสำเร็จมาได้  แม้ฟ้าดินจะเหี้ยมโหดต่อโชคชะตาผู้คน แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อ

ความตั้งใจจริง สู้ให้ถึงที่สุดและที่สุด ความพากเพียรอันยิ่งยวด พยายามมิยอม

ท้อถอยย่อมพบพานความสำเร็จ นี่คือคำสอนจากปราชญ์เมธีโบราณ ที่เหล่าอา


จารย์สอนหนังสือ ที่บิดาเชิญมาสอนตนเมื่อครั้งวัยเยาว์ จนโค้วหย่งเทียนจำได้ 

โดยมิวันรู้ลืม และเพิ่งทราบซึ้งถึงคำนี้ เมื่อวันที่ตนสำเร็จยอดยุทธ์นั่นเอง   


             
          

       บนเส้นทางอันเวิ้งว้าง หิมะสีขาวโพลนโปรยปราย ทั่วทั้งผืนฟ้าและผืนดิน  


บุรุษหนุ่มสวมเสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน สวมหมวกปีกกว้าง เดินบนเส้นทางอันเปลี่ยว

เหงาเพียงลำพัง  มวลหิมะและสายลมอันเหน็บหนาวจนเสียดกระดูก ก็มิอาจจะ 

หยุดยั้งการก้าวเดินด้วยฝีเท้าอันมันคง ของบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้   

       
   ที่ห่างออกไปทางเบื้องหลัง ปรากฏมีรถม้าคันหนึ่ง  แล่นบดหิมะที่แข็งตัวจน


แตกกระจายมาอย่างรวดเร็ว  คนในรถม้าเป็นบุรุษสูงวัย และดรุณีโฉมสะคราญ

ดุจเทพธิดาอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ท่าทางอมโรคนางหนึ่ง เบื้องนอกคนขับรถม้า

เป็นบุรุษวัยกลาง ท่าทางคล่องแคล่วเชี่ยวชาญการขับขี่รถม้า 

   
        " ทรวงเอ๋อ เราใกล้ถึงแล้ว เมื่อพบเทพโอสถ เจ้าจะหายดี  "  บุรุษสูง

วัยกล่าวกับดรุณีน้อย 

      
           "  บิดาท่าน จริงหรือ  ทรวงเอ๋อจะมีโอกาสเดินได้ อีกครา  "  

  ดรุณีน้อยกล่าวขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส  แววตาเปี่ยมด้วยความหวัง


       "  จริงแท้แน่นอนลูกพ่อ เทพโอสถโอหยางชุน เชี่ยวชาญการแพทย์ 

เล่ากันว่าแม้แต่คนใกล้ตาย  เมื่อมาถึงมือเทพโอสถยังสามารถรอดชีวิต  "      

 
     ผู้เป็นบิดากล่าวปลอบประโลมใจ เพิ่มความเชื่อต่อผู้เป็นบุตรตรีของตน


       บิดาและบุตรคู่นี้คือ จางเจี้ยนจงและจางจี่ทรวง อันเป็นทายาทของ


จางเจี้ยนจือ ผู้เป็นหัวหน้าแกนนำ ในการบีบบังคับให้พระนางบูเช็กเทียน 

ทรงสละพระราชอำนาจให้พระเจ้าถังจงจง  แต่เมื่อพระเจ้าถังจงจงได้ครอง

บัลลังก์  จางเจี้ยนจือกลับถูกกังฉินใส่ความ ถูกเนรเทศออกนอกด่าน  จน

ต้องตรอมใจตายในระหว่างทาง  สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนและขุนนาง

ตงฉินเป็นอันมาก

      บรรดาผู้คนในตระกูลจาง ต่างแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศทาง 


จางเจี้ยนจงเป็นบุตรชายคนสี่ ของจางเจี้ยนจือ อาศัยอยู่นอกด่านพร้อมครอบ

ครัว นับตั้งแต่ภรรยาจากไปเหลือเพียง ธิดาโทนเพียงผู้เดียวจึงทุ่มเทความรัก

ทั้งมวลแก่ธิดาน้อยผู้นี้


    แต่เมื่อตอนสองปีก่อนนางเกิดป่วยเป็นโรคประหลาด มิอาจจะขยับขาก้าว

เดินได้อีก  หมอชื่อดังต่างถูกเชื้อเชิญ มารักษาแต่ก็จนปัญญา ทรัพย์สินที่มี

ต่างถูกใช้เพื่อการรักษาธิดา จนแทบหมดสิ้น ก็มิมีผลอย่างใดกลับมา    

      ต่อเมื่อได้ข่าวเทพโอสถโอหยางชุน จึงได้ขายทรัพย์สินที่มีทั้งหมดว่า


จ้างรถม้า ฝ่ามวลหิมะอันหน็บหนาว มาด้วยความหวัง เมื่อมองไปยังเส้นทาง

อันเวิ้งว้าง  พบร่างของบุรุษผู้หนึ่ง เดินฝ่าหิมะอันหนาวเหน็บ ให้รู้สึกอดเอ่ย

ชื่นชมต่อ บุคคลิกอันองอาจของบุรุษหนุ่มผู้นี้ มิได้ 


         "  คนผู้นี้ช่างมีหัวใจอันหนักแน่น กล้าหาญนัก    "     


      ผู้เป็นบุตรเมื่อมองตาม เห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินกลางหิมะอันเหน็บหนาว 


ด้วยนางเป็นผู้มีความเมตตา อ่อนโยน จึงเอ่ยกลับบิดา


  "  น่าสงสารเขานัก   ท่านบิดาให้เขาอาศัย ไปกับเราด้วยได้ไหม  "     


  แต่ไหนแต่ไรมาจางเจี้ยนจงมักตามใจบุตตรีผู้นี้ของตน ครั้งนี้ก็เช่นกัน  


           "   ท่านเบ้ ขอท่านหยุดรถก่อน  เชิญบุรุษผู้นั้น 

  ขึ้นมาบนรถร่วมทางไปกับเราด้วย   "


   ชายขับรถผู้แซ่เบ้ เมื่อได้ยินดังนั้น แม้มิพอใจแต่จำต้องหยุดม้าทั้งสามตัว   


แล้วกล่าวว่า

        "   บนเส้นทางนี้มักมีพวกโจร คอยดักปล้นชิงอยู่เนืองๆ 

  ขอนายท่านไตร่ตรองดูอีกสักครั้ง  "


      "   คงมิเป็นไรหรอกท่าน   "  จางเจี้ยนจงกล่าว

 
     "  มันเสี่ยงมากนะท่าน ทั้งท่านยังมีบุตรตรีมาด้วย  "  

  คำกล่าวของคนขับรถดูเหมือนจะห่วงใยสองพ่อลูก แต่จริงๆแล้วมันกลัว 


จะเสียเปรียบ เพิ่มมาอีก

คนมิต้องขาดทุนหรือไร

 
     "  ดูเขาน่าสงสารมากกว่า อากาศเหน็บหนาวยิ่ง  "  

      เสียงของดรุณีเอ่ยขึ้นวิงวอนบิดาตนด้วยกลัวบิดาตนจะเปลี่ยนใจ


    จางเจี้ยนจง คราแรกได้ฟังชายขับรถม้าบอกก็อดหวั่นใจมิได้ แต่ด้วย


ความรักและตามใจบุตตรีคนคนเดียว  จึงกล่าวกับคนขับรถม้าขึ้นว่า


    "  ข้าพเจ้าจะเพิ่มค่าจ้างให้ท่านอีก  ท่านรีบไปเชิญคนผู้นั้นเถิด  "


     เมื่อได้ยินคำว่าค่าจ้างเพิ่ม และมองดูบุรุษผู้สวมเสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน


แล้วดวงตาเป็นประกาย รีบวิ่งไปเชื้อเชิญ บุรุษผู้สวมเสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน 

บุรุษหนุ่มขยับหมวกปีกกว้าง มองมาทางรถม้าแล้วเดินตามชายขับรถม้า   

เมื่อมาถึงจึงประสานมือคาระวะจางเจี้ยนจือ  แล้วขึ้นไปบนรถม้า ปลด

หมวกปีกกว้าง ออกเผยให้เห็นใบหน้าที่คมคาย บุรุษผู้นั้นประสานมือคา

ระวะ อีกครั้งกล่าวแนะนำตนเอง  


 " ข้าพเจ้าโค่วหยงเทียน ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่า และคุณหนูที่เมตตา  "


   แท้จริงแล้วบุรุษหนุ่มผู้สวมเสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน สวมหมวกปีกกว้าง


คือโค้วหย่งเทียน นั้นเอง   

         
                  มังกรเคลื่อนกาย สายฟ้าแลบแปลบ 

          

    ในระว่างเดินทางอันเวิ้งว้างขาวโพลน ทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้การ

รับรู้ของโค้วหย่งเทียน เสียงหิมะที่ร่วงหล่น กระทบซ้อนทับถมกัน เสียง

ลมหายใจของสัตว์ที่อาศัยใต้พื้นหิมะ เสียงรถม้าที่กำลังแล่นอย่างรวดเร็ว

มาแต่ยังเบื้องหลัง  เสียงลมหายใจของคนในรถม้า โดยเฉพาะเสียงลม

หายใจอันอ่อนหล้าเสียงหนึ่ง  ล้วนปรากฎอยู่ในการรับรู้ของโค้วหย่งเทียน  

และทุกถ้อยคำที่่กล่าวโต้ตอบกัน ยิ่งมิอาจรอดพ้นจากการรับรู้เช่นกัน    

      โค้วหย่งเทียน  ยังคงก้าวเดินไป ทุกย่างก้าวย่างดูประหนึ่งหนักแน่น 

แต่แผ่วเบาเหยียบหิมะจนไร้รอย เมื่อรถม้าวิ่งผ่านไป แต่แล้วหยุดลง จึง

ทราบว่ามีผู้คิดเชื้อเชิญตนร่วมทาง คราแรกคิดจะปฏิเสธ ต่อเมื่อได้ยินเสียง

ฝีเท้าม้าเสียงผู้คนจำนวนหนึ่ง ดังสับสนอันประหลาดเข้ามาในการรับรู้  จึง

ได้ร่วมทางไปด้วย ทางหนึ่งทราบซึ้งความมีน้ำใจ ถูกชะตากับสองพ่อลูก

ผู้อารีคู่นี้  ทางหนึ่งเป็นการคุ้มครองสองพ่อลูก ด้วยชายผู้ขับรถม้า มีท่าที

มิน่าไว้วางใจ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความชั่วร้ายชนิดหนึ่ง


   ภายในรถม้านับว่ากว้างใหญ่ เพียงพอสำหรับคนทั้งสาม แบ่งเป็นสองตอน 

มีผ้าม่านผืนหนึ่ง กั้นเป็นฉากกึ่งกลาง พื้นปูลาดด้วยพรมสีแดง พาหนะอันเลิศ

หรูเช่นนี้ บ่งบอกถึงฐานะความร่ำรวยผู้เป็นเจ้าของ ด้านในหลังม่าน เป็นพื้นที่

ของดรุณีน้อยบุตตรี


  " ข้าพเจ้า จางเจี้ยนจง บุตรข้าพเจ้าจี่ทรวง  ยินดีได้ที่รู้จักคุณชายโค่ว  "

   จางเจียนจงประสานมือตอบ  หลังจากที่โค้วหย่งเทียนกล่าวแนะนำตัว ทั้ง

ยังรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ เป็นมีความอ่อนน้อม ดั่งบุตรหลานมีชาติตระกูลอันดี

 จึงคลายใจที่ตนมิได้รับโจร ขึ้นร่วมทาง


      "  จี้ทรวงคาระวะคุณชาย " เสียงอันนุ่มนวลอ่อนหวานหลังม่านกล่าวมา


      "  รบกวนคุณหนู แล้ว   " โค้วหย่งเทียนกล่าวตอบ  


 " เชิญดื่มน้ำชาอุ่นๆ ร่างกายจะได้ดีขึ้น อากาศเบื้องนอกช่างเหน็บหนาวนัก "  

                    จางเจี้ยนจงกล่าวพลางรินน้ำชายืนส่งให้



     "   ผู้เยาว์มิเกรงใจแล้ว  ...ชาฉีเหมิน นับว่า  กลิ่นหอมติดปากชุ่มคอยิ่ง "  


        โค้วหย่งเทียน จิบน้ำชากล่าวอย่างชื่นชม  หวลคิด เมื่อครั้งวัยเยาว์  

มารดามักจะนำชาฉีเหมิน มาให้ตนดื่มก่อนนอนเป็นประจำ เป็นชาที่บ้านตน

ชื่นชอบเป็นที่ยิ่ง แต่ตอนนี้มารดาท่านจากตนไปเสียแล้ว เมื่อนึกถึงตอนนี้ 

ใบหน้าพลันเศร้าสลดลง


     "  คุณชายมี สิ่งไรหรือไม่ดูเหมือนท่าน มีความในใจ   "    

   จางเจี้ยนจงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียง ห่วงใยและความสงสัย  คราแรกเห็นบุรุษ

หนุ่มผู้นี้เดินฝ่าหิมะอันเหน็บหนาว สีหน้ายังแจ่มใสสดชื่น แต่พอจิบชาฉีเหมิน

สีหน้า พลันเปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมอง 
  

      "   ข้าพเจ้าดื่มชาฉีเหมิน พลันนึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ  ขออภัยท่านยิ่ง  "  


  โค่วหย่งเทียนตอบพร้อมทั้งกล่าวขออภัย ที่ตนอาจทำให้บรรยากาศดื่มชา

เสียไป


 " มารดาคงรักท่านยิ่ง  " เสียงของอันนุ่มนวลของจางจี้ทรวง ดังผ่านม่านมา


     " เป็นเช่นนั้นคุณหนู   "   บุรุษหนุ่มกล่าวตอบพร้อมทั้งหลับตาค่อยๆจิบ

น้ำชา ประหนึ่งกลัวว่าน้ำชาจะหมดไปพร้อมกับ ความรู้สึกความทรงจำความ

หลัง อันมีค่าของตน


 " อืม..ว่าแต่คุณชายจะเข้าเมืองด้วยเหตุใด" จางเจี้ยนจงเอ่ยถามบุรุุษหนุ่ม


     " ข้าพเจ้าไร้ญาติขาดมิตร ไปครานี้มุ่งหวังจะไปไหว้หลุมศพบิดามารดา
และเหล่าญาติพี่น้องที่ล่วงลับ  "  
   


    " นับว่าท่านเป็นบุตรมีความกตัญญูผู้หนึ่ง  "  จางจี้ทรวง นางกล่าวผ่าน
ม่านด้วยชื่นชม  แล้วกล่าวสืบไปด้วยน้ำเสียงที่หม่นหมอง ว่า


      "   เป็นข้าพเจ้าที่รู้สึกละอาย  เป็นภาระให้ท่านผู้เฒ่า  "


     "  ทรวงเอ๋อไฉนกล่าวเช่นนี้  เมื่อพบท่านหมอเจ้าก็จะหายดีแล้ว  "  
จางเจี้ยนจงกล่าวปลอบบุตตรีของตน แล้วหันมากล่าวกับบุรุษหนุ่มว่า  


     "  ทรวงเอ๋อบุตตรีข้าพเจ้าเป็นโรคประหลาด  ขาทั้งสองข้างมิอาจ
เคลื่อนไหวได้  กำลังเดินทางไปหาเทพโอสถ เพื่อทำการรักษา  "


     
    " ข้าพเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวไว้ ว่า  แถบนี้มี บึงมังกร  หากแม้น
ใครลงไปแช่ จะคลายเส้น ฟื้นฟูกำลัง  " บุรุษหนุ่มกล่าว


   
       " หากแม้นมี   เช่นนั้นนับว่าวิเศษ  มีท่านหมอผู้หนึ่งเคยบอกว่า หาก
ได้แช่น้ำบึงมังกร จะทำให้ดีขึ้น  "  

    จางเจี้ยนจงกล่าวขึ้น ด้วยความดียินดี แล้วรีบแหวกม่านร้องกล่าวไปยัง

คนขับรถม้า ที่กำลังควบขับรถม้าอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มุ่งหน้าไปยังบึงมังกร


   
             "    เอะ..  ท่านเบ้ นี่มิใช่ ทางที่จะเข้าสู่ตัวเมืองนี่    "    



   
       จางเจี้ยนจงร้องกล่าวขึ้นด้วยความแปลกใจ ที่เห็นชายขับรถม้าออก

นอกเส้นทาง มุ่งเข้าชายป่าข้างทางที่คดเคี้ยว แล้วหยุดลงใต้ต้นไม้ใหญ่

เสียงฝีเท้าม้า้กลุ่มหนึ่งควบมา แล้วโอบล้อม จางเจี้ยนจงหันไปร้องถาม

คนขับรถม้า 


           "  ท่านเบ้ นี่หมายความว่า อย่างไร  "


        ชายขับรถม้าพลันหยุดรถ หยีตาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย กล่าวขึ้นด้วย

น้ำเสียงกระหยิ่ม ตอบไปว่า


        "   ท่านจาง  ท่านโดนโจรปล้นแล้ว อิ อิ  "


      "  ท่านเป็นพวกเดียวกับพวกโจรหรือนี่ "  จางเจี้ยนจงกล่าวด้วยความ
ตกใจต่อท่าทีของคนขับรถม้า


     
      "   มิผิด มันคือพวกเดียวกัน   "  โค้วหย่งเทียน กล่าวขึ้นด้วยท่าทีที่ 
สงบราวกับมิมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น


                   
             "  บิดาพวกเราจะทำอย่างไรกันดี   "  

   เสียงอันตื่นตระหนกของจางจี่ทรวง พร้อมทั้งแหวกม่านออกมา เผยให้

เห็นใบหน้าอันสวยซึ้งสะคราญโฉม ผิวขาวราวหิมะหยกบริสุทธิ เปี่ยมด้วย

ราศรี ปานเทพธิดาในโลกหล้า ตรึงใจผู้คนมิรู้ลืมยามพบเห็น


       
     ทันที ที่โค้วหย่งเทียนและจางจี้ทรวง มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายต่าง

ต้องตกตะลึง ภาพของเด็กหญิงหน้าตาสดใสผู้หนึ่งผุดขึ้น และภาพของเด็ก

หนุ่มผู้หนึ่ง ต่อสู้กับเหล่าอันธพาล กลุ่มหนึ่ง ที่มาลวนลามตน   

     
           "  เป็นท่าน  "   ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน ด้วยความตื่นเต้นยินดี 


        
         " อะไรน่ะ  ท่านคือผู้ที่ช่วยทรวงเอ๋อเมื่อหลายปีก่อนดอกหรือนี่   "  


   จางเจี้ยนจงกล่าวด้วยความตื่นเต้น ประสานมือขอบคุณบุรุษหนุ่ม  หลัง

จากที่บุตตรีได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครานั้น 


       
     " ท่านผู้เฒ่า เช่นนี้จะได้อย่างไร "  บุรุษหนุ่มรีบกุมมือจางเจี้ยนจงไว้


               
   "  พอพบกัน ก็ทำให้คุณชายโค้วเดือดร้อนอีกแล้ว  " จางจี่ทรวงกล่าว
ด้วยน้ำเสียงประหวั่นขวยเขิน แต่แฝงไว้ความหม่นหมอง ยินดีเมื่อได้พบ
กับ บุรุษที่ประทับอยู่ในความทรงจำของตน  แต่กลับเศร้าใจที่เขาต้องมา
ประสบเคราะห์กรรมในครานี้ไปด้วย 


 
         " มิเป็นไร  บิดามีทรัพย์สินติดตัวมา  คาดว่าพวกโจร
  คงมิทำอันตรายพวกเราดอกกระมัง   "  


                จางเจี้ยนจงหันมากล่าวต่อคนทั้งสองเพื่อให้คลายใจ


         
          พลันมีเสียงอันดุดันเสียงหนึ่ง ดังขึ้น


       "   เอาพวกมัน ไปที่ค่าย  "   


          
        รถม้า ถูกนำมายังค่ายโจรขนาดใหญ่  เหล่าโจรมิน้อยกว่าห้าสิบคน 

รายล้อมเข้ามาชมดูเชลยที่ถูกนำมา ต่างส่งเสียงดังอื้ออึงเมื่อเห็น ใบหน้า

อันสวยซึ้งปานเทพธิดาของเชลยสาว  คนทั้งสามถูกนำมายังห้องโถงใหญ่

ของชุมโจร  มีเหล่าจอมโจรน้อยใหญ่ นับร้อยคน ยืนเรียงรายอยู่สองข้าง 

เป็นทิวแถว  บนเก้าอี้ตัวใหญ่กึ่งกลางห้อง นั่งไว้ด้วยชายศรีษะโล้น ท่าทาง

ชั่วร้าย บ่งบอกฐานะว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของค่ายโจร กำลังนั่งแทะขาเนื้อวัว

ย่างชิ้นโต อย่างมูมมาม พร้อมทั้งยกไหสุราขึ้นดื่มเป็นระยะ ดุจดั่งคนหิวโซ

อดอาหารมาเนิ่นนานก็มิปาน  เมื่อมีผู้นำเชลยเข้ามา มันไม่เหลือบตาแล 

เพียงกล่าวขึ้นอย่างรวบรัดว่า



           " พวกเจ้าเมื่อบุรุกเขตแดนพวกเรา จำต้องมีค่าผ่านทาง  ฉะนั้น
ทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเจ้าที่มี จะต้องตกเป็นของพวกเรา  "


     พอหัวหน้าโจรกล่าวจบ ก็ก้มหน้าก้มตาแทะขาเนื้อวัวต่อ โดยมิสนใจสิ่ง

ใดอีก คนผู้นี้คือจอมโจรหัวเหล็กทิจือเหล็ง ด้วยศรีษะที่แข็งแกร่งสำเร็จวิชา

มารเกาะทอง อาวุธธรรมดามิอาจทำอันตรายมันได้ ที่ข้างกายของมันเป็นบุรุษ

วัยกลางคน คางแหลม หลังสะพายกระบี่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสมุนโจรมือขวา นาม

กระบี่ไว ต้าไห่ สมุนผู้นี้ จัดแจงงานในค่ายได้รวบรัด  เป็นที่สบใจหัวหน้าค่าย  

ได้ร้องสั่งสมุนโจรขึ้น


     "    นำตัวผู้ชายไปขัง ส่วนสาวงามค่ำคืนนี้พาตัวไปห้องหัวหน้าใหญ่   "

                           คำพูดของมันรวบรัดชัดเจนในคำเดียว
 

       "  เดี่ยวก่อนท่านหัวหน้าโจร  บุตตรีของข้า มีสามีแล้ว 
และนี่ก็คือบุตรเขยของข้้า   "  จางเจี้ยนจงร้องทัดทานกล่าวขึ้น


       พร้อมทั้งผายมือไปที่โค้วหย่งเทียน   สร้างความตื่นตระหนกแก่

 โค้วหย่งเทียนและจางจี้ทรวง บุตตรีที่ถูกโอบอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของบิดา

สร้างความขวยอาย จนต้องเอาหน้าแนบกับไหล่ผู้เป็นบิดา  ส่วนโค้วหย่ง

เทียน ใบหน้าร้อนผ่าว เข้าใจในสถานะการณ์ดี  ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย 

แม้กระนั้นยังรู้สึกยินดีอยู่มิน้อย  

   
       จอมโจรหัวเหล็ก พอได้ยินคำว่าสาวงาม หูผึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมอง 

แต่แล้วต้องตกตะลึง เกิดมาจากท้องมารดา ตั้งแต่เด็กจนแก่ป่านนี้ มันไฉน

จะเคยพานพบสตรีที่สวยสะคราญปานนางฟ้าเช่นนี้ แต่แสร้งปั้นท่าทีเฉยเมย

กัดกินก้อนเนื้อคำโต ทั้งๆที่ในใจแทบจะเต้นออกมานอกอก ที่ค่ำคืนนี้จะได้

เชยชมยอดหญิงงาม มันมิสนใจว่าสตรีนางใดจะมีสามีแล้วหรือไม่ ขอเพียง

มันพึงใจเป็นพอ สมุนมือขวากระบี่ไว ต้าไห่ ล่วงรู้นิสัยผู้เป็นนายของตนดีจึง

กล่าวขึ้นว่า  


     "  อันท่านหัวหน้าของเรา มินิยมสตรีที่มีสามีอยู่แล้ว  "  

 มันกล่าวราวกับว่าหัวหน้าของมันเป็นผู้มีธรรมมะสูงส่งก็มิปาน มันหยุดยิ้ม 

ที่มุมปากนิดนึงแล้วกล่าวสืบไป

 
      "  แต่เรื่องนี้ง่ายดายนัก ถ้าสามีนางตาย ก็นับว่ามิมีสามีแล้ว  " 

  
  มันกล่าวรวบรัดเอาดื้อๆ  วาจาของมัน สร้างความพอใจให้แก่หัวโจร จนหัว

เราะลั่น และยังสร้างเสียงหัวเราะเฮฮาของเหล่าโจร น้อยใหญ่ได้มิน้อย ฝ่าย

โค้วหย่งเทียน เคยรับปากผู้เป็นอาจารย์ว่าจะไม่เข่นฆ่าผู้คนให้วุ่นวาย มากไป

จำต้องสะกดใจนิ่งไว้ จางเจี้ยนจงและจางจี้ทรวง พอได้ยินดังนั้น ถึงกลับหน้า

เสีย คาดมิถึงว่าพวกโจรจะมาไม้นี้ จึงรีบกล่าวขึ้นอีกว่า


     "   บุตตรีของข้าป่วยอาการย่ำแย่  ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก
 นางเป็นเพียงผู้พิการคนหนึ่ง  "


   พอได้ยินว่า ดรุณีโฉมงามกลับเป็นผู้พิการคนหนึ่ง  หัวหน้าโจรถึงกับหยุด

เคี้ยวเนื้อที่เต็มปาก คิดในใจใยมิหมดสิ้นรสชาติดอกหรือนี่ ขณะที่มืออีกข้าง

กำลัง ลูบศรีษะตัวเองทอดถอนใจรู้สึกเสียดายสาวงาม  พลันได้ยินเสียงเชลย

หนุ่ม กล่าวขึ้นว่า


    "  แต่ถ้าได้แช่ น้ำในบึงมังกร อาการของฮูหยินข้าพเจ้า
 น่าจะดีขึ้น แต่มิรู้ว่าอยู่ที่ใด   "  

      โค้วหย่งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยต้องการที่จะให้พวกโจรนำพาไปยังบึงมังกร 


           โจรกระบี่ไว ต้าไห่ ปากไวสมชื่อ  ยิ้มแล้วหันหน้าไปทางจอมโจรหัว

เหล็กผู้เป็นหัวหน้า รีบกล่าวว่า  

   
   "   บึงมังกร นับว่าอยู่ไม่ไกล เพราะที่นี่คือ บึงมังกร  "  

  
   พอมันกล่าวจบ จอมโจรหัวเหล็กส่งเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า ชอบใจ กระบี่ไวต้าไห่  

นับว่าได้ตำแหน่งมือขวาของขุนโจร มิใช่แค่กระบี่ไวอย่างเดียว ที่สำคัญปากอัน

ชาญฉลาดเจรจาประจบประแจงก็เก่งมิแพ้กัน ขณะนั้นมีสมุนโจรนำห่อผ้าที่ยึด

มาจากโค้วหย่งเทียน ส่งมอบให้จอมโจรหัวเหล็ก

         "   ห่อผ้าคงเป็นของเจ้ากระมัง   "    หัวหน้าโจรหันไปกล่าวเชลยหนุ่ม

แล้วคลี่เปิดห่อผ้าออกดู โค้วหย่งเทียนยังคงยืนด้วยท่าทางปรอดโปร่ง หาได้มี

ความหวาดหวั่นต่อชุมโจรไม่ นับตั้งแต่เข้ามาในรังโจร แล้วกล่าวตอบไปว่า

           
         "  เป็นของข้าพเจ้าเอง "


          ทันทีที่มือของจอมโจรหัวเหล็ก ทิจือเหล็ง สัมผัสกับของในห่อผ้า  

ปรากฏมีพลังสายหนึ่งชำแรกนิ้วมือเข้ามา จนต้องรีบใช้วิชามารเกาะทองเข้า

ต้านทาน  พลันนึกขึ้นว่าเชลยหนุ่มผู้นี้คงมีความเป็นมา มิธรรมดา  แต่ด้วย

ยังรักษาหน้าของตนที่เป็นหัวหน้าค่ายโจร  จำต้องแสร้งแสยะมุมปากกล่าว

กลบเกลื่อน 

     
    "  อืม.. สวยงามมาก   "  

 
  โค่วหย่งเทียนยิ้มรับ คาดว่าหัวหน้าโจร  คงโดนเจ้าดาบตัดสายฟ้าทักทาย

เข้าแล้ว  จึงกล่าวตอบไปว่า

 
     "  เป็นของท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ให้ข้าพเจ้ามา  "   



        ก่อนที่จอมโจรหัวเหล็ก จะซักไซ้อย่างใดต่อ ก็มีสมุนโจรผู้หนึ่งวิ่งเข้า

มา พร้อมทั้งรายงานขึ้นว่า


            " เรียนท่านหัวหน้าบัดนี้หัวหน้าโจรทั้งแปดทิศ สิบเอ็ดค่ายได้
 มาถึงแล้ว  รอท่านหัวหน้าอยู่ที่ลานพยัคฆ์ขาว  "


      ทันทีที่ได้รับรายงาน จอมโจรหัวเหล็ก รีบปิดห่อผ้า  ร้องสั่งให้พาตัวเชลย

ทั้งสาม ไปอยู่ที่เรือนคุมขังหลังหนึ่งซึ่งอยู่ริมบึงมังกร

    ทุกผู้คนต่างประหลาดใจต่อท่าที ของหัวหน้าโจร ที่ดูจะอ่อนข้อต่อเชลย 

ถึงขนาดให้ไปควบคุมอยู่ที่เรือนรับรอง  แม้แต่กระบีไว ต้าไห่ สมุนมือขวายัง

อดฉงนใจมิได้ หลังจากหัวหน้าของตนเปิดห่อผ้า ดูเหมือนจะมีท่าทีเปลี่ยนไป

ต่อเชลย ในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดกันแน่  เป็นสิ่งที่ตนต้องรู้ให้ได้ ในฐานะสมุนคู่ใจ

ของจอมโจรหัวเหล็กทิจือเหล็งแห่งค่าย พยัคฆ์ขาว แห่งนี้

      
    ควรทราบว่า เมื่อเจ้าแผ่นดินอ่อนแอ ขุงนางกังฉินโกงกิน อาณาจักรเสื่อม

โทรม ผู้คนมากอดอยาก มีไม่น้อยที่รวมกลุ่มเป็นกกเหล่า ออกต่อต้านทางการ

 เบื้องแรกชูธงคุณธรรมอุดมการณ์ ต่อเมื่อมีกำลังกล้าแข็ง สุดท้ายกลายกลับ

เป็นโจรป่าไป  ค่ายโจรพยัคฆ์ขาว แห่งนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน  
   


   


         
     
      คนเราแม้เลือกเกิดมิได้ แต่เลือกเส้นทางชีวิตได้ แล้วท่านจะเลือกเส้นทางใด?


     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น