อสนีบาตสะท้านฟ้า
เสียงกลองกระหึ่มดังกึกก้อง พร้อมเสียงโห่ร้องของบรรดาสมุนโจรดังขึ้น
มาอีกครา เมื่อนักพรตกระบี่เต่าดำสามสวรรค์ ปรากฏกายบนเวที ด้วยนักพรต
เต่าดำเป็นผู้มีชื่อเสียง ในเพลงกระบี่เต่าดำสามสวรรค์จนไร้ผู้ต่อต้าน แห่งดิน
แดนฝูเจี้ยน ค่ายผาเต่าดำฮกจิว มานานนับหลายสิบปี
โค่วหย่งเทียนเมื่อเห็นท่าร่างวิชาตัวเบา ต้องออกปากชื่นชม ทั้งรู้ดีว่านักพรต
ผู้นี้เป็นยอดฝีมือทางกระบี่ จนทำให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ครุ่นคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว
กระมัง ที่จะได้ทดสอบเพลงดาบตัดสายฟ้าของตน
" เจ้าทารกน้อย คาดมิถึงว่าเจ้าจะมีฝีมือ มิธรรมดา " นักพรตเต่าดำเอ่ยขึ้น
" มิกล้า มิกล้า ผู้เยาว์เป็นชาวป่าชาวดอย เพิ่งออกจากป่ามาเขา
ฝีมือที่มี ล้วนเพียงเพื่อป้องกันตัว ขอเต้าเจียง ได้โปรดยั้งมือด้วย " โค่วหย่ง
เทียนประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม
ฝ่ายกระบี่เต่าดำสามสวรรค์ บ้อเซ่งเง็ก ได้ฟังรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้แม้ปากบอก
ว่ามาจากป่าดอย แต่กริยาบุคลิคท่าทาง บ่งบอกที่มามิธรรมดา แม้จะรู้สึกพึงใจ
กับสัดส่วน อันเยี่ยมยอดที่เหมาะกับการฝึกยอดวิชา หากแม้นตนได้ศิษย์เช่นนี้
คงประเสริฐ แต่แล้วต้องทอดถอนใจ หากปล่อยบุรุษผู้นี้ไป คงต้องเป็นภัยใน
ภายหน้า จำใจต้องกำจัดทิ้ง อีกประการตนยังต้อง ช่วงชิงตำแหน่งประมุขสมา
พันธ์แปดทิศ สิบสองค่ายโจร จึงคิดใช้บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นบันได ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง
แล้วกล่าวขึ้นว่า
" แม้นเราชมชอบเจ้า แต่เพื่อศักดิ์เกรียติภูมิของ สมาพันธ์โจร อย่าหาว่า
เล่าฮู้ เหี้ยมโหดเกินไป หากจะโทษ ก็จงโทษชะตากรรมของเจ้าเถิด "
" ขอบพระคุณน้ำใจผู้อาวุโส เชิญท่านลงมือได้เต็มที่ หากผู้เยาว์เสียที
ตกตายในคมกระบี่ของยอดฝีมือเช่นท่าน ก็มิเสียใจ " โค่วหย่งเทียนกล่าวตอบ
" มิต้องกล่าวแล้ว เจ้าบุกเข้ามาก่อน" นักพรตกระบี่เต่าดำสามสวรรค์เอ่ยขึ้น
" ผู้เยาว์เป็นผู้น้อย เชิญเต้าเจียงบุกก่อนเถิด "
นักพรตกระบี่เต่าดำสามสวรรค์ เมื่อได้ฟังนึกว่าโค่วหย่งเทียนถือดีหยิ่ง
ทรนง ทั้งดูแคลนตน จึงสะกิดเท้าพุ่งทะยานเข้าหา ด้วยท่ากระบี่เต่าดำทะ
ยานฟ้า ทั้งร้องตวาดออกไป
" เจ้าทารก มิรู้จักดีชั่ว "
ร่างนักพรตกระบี่เต่าดำที่ทะยาน อยู่กลางอากาศนั้น ดูประดุจพญาเต่าดำ
ตัวใหญ่ โฉบเข้าหาโค่วหย่งเทียน กระบี่เล่มหนึ่งถูกชักออกมา ทิ่มแทงไปที่
คอหอยของบุรุษหนุ่ม อย่างรวดเร็ว เป็นกระบี่สังหารอย่างแท้จริง หากแม้นว่า
โค่วหย่งเทียนมีวิชาตัวเบาที่ต่ำทราม กระบี่นี้คงแทงทะลุคอหอยอย่างแน่นอน
นักพรตกระบี่เต่าดำมิคาดว่าบุรุษหนุ่มจะสามารถ หลงรอดกระบี่สังหารของตนได้
รู้สึกเสื่อมเสียหน้า ลงมือคราแรกก็พลาดเป้า เมื่อเหลือบแลเห็นบุรุษหนุ่ม อยู่ด้าน
ข้างห่างออกไปเจ็ดก้าว ร่างมิทันสัมผัสพื้น ก็พลิกข้อมือใช้ปลายกระบี่สะกิดพื้น
เปลี่ยนทิศทาง พุ่งเข้าหาโค่วหย่ง เทียนอีกคราอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่เป็นประ
กายเย็นยะเยียบ เกิดเป็นเงากระบี่ อันหนาแน่นครอบคลุม โค่วหย่งเทียนไว้
พลังกระบี่กดดันชวนให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด แต่มิทราบในมือของบุรุษหนุ่มได้เพิ่ม
ดาบมาตั้งแต่เมื่อใด เป็นดาบเล่มใหญ่เบาบาง ที่มิได้ออกจากฝัก ยกด้านข้าง
ดาบขึ้นปิดกั้นสกัด ทำลายสภาวะกระบี่ที่รุกจู่โจมมาอย่างรวดเร็ว
นักพรตกระบีเต่าดำเมื่อเห็นว่ากระบี่ของตน มิอาจทำอันตรายโค่วหย่งเทียน
จึงพลิ้วกายโฉบออกด้านข้าง ด้วยรับรู้พลังอันแหลมคมรวดเร็วปานสายฟ้า ที่ชำ
แรกกระบี่มา ทั้งตนยังเสียโอกาสในการรุก จึงพลิ้วกายหมุนวนย่อมประเสริฐกว่า
ฝ่ายโค่วหย่งเทียน ตั้งมั่นได้แล้ว ก็มิได้รุกไล่ แต่ประการใด
ใบหน้าของนักพรตกระบี่เต่าดำ ยามนี้ค่อยค่อยเปลี่ยนสี กลายเป็นสีแดงแล้ว
แปรเปลี่ยนเป็นสีเทา เร่งเร้าพลังเข้าสู่กระบี่ แล้วร่ายรำออกด้วยกระบวนท่าหนึ่ง
สวรรค์จตุราชันเทพ อันเป็นสวรรค์ชั้นที่หนึ่งในวิชากระบี่เต่าดำสามสวรรค์ และ
เป็นท่าไม้ตายที่ไร้ผู้ต่อต้านมาหลายสิบปี เมื่อกระบวนท่านี้ใช้ออก บนเวทีปรากฏ
มีนักพรตกระบี่เต่าดำ ยืนตั้งท่ากระบี่ถึงสี่คนในท่วงท่าต่างๆกัน
เหล่าเชลยต่างลอบกลืนน้ำลายเอื้อกสีหน้าซีดเผือดลงทุกตัวคน
" วิชาผีสางอะไรกัน ชวนขนพลองสยองเกล้า " มือปราบหวงเซิงโพล่งออกมา
ส่วนจางจี่ทรวงกอดบิดาแน่น ภายในใจตื่นตระหนก ต่ออานุภาพกระบี่นักพรต
เต่าดำ ต้องอธิฐานขอให้พระยูไลช่วยแสดงปาฏิหาริย์อีกครา
ฝ่ายเหล่าหัวหน้าโจรต่างลอบคร่ำครวญในใจ เมื่อเห็นกระบวนท่ากระบี่
อันสูงส่งของนักพรตเต่าดำ เห็นได้ชัดว่าฝีมือเหนือกว่าตน เช่นนี้ตำแหน่ง
ประมุขสมาพันธ์และสาวงาม ไยมิต้องยกให้นักพรตเฒ่าผู้นี้ดอกหรือ
ฝ่ายโค่วหย่งเทียนเมื่อเห็นกระบวนท่ากระบี่ ต้องเอ่ยปากชม เป็นกระ
บวนท่าที่ไร้ช่องโหว่ ด้วยสภาวะกระบี่ที่กดดันคุกคาม คู่ต่อสู้ให้ขาดใจตาย
มิน่าเล่านักพรตชราผู้นี้ ถึงครองความยิ่งใหญ่ มาหลายสิบปี คิดดังนั้นจึง
เร้าพลังขึ้นอีกสองส่วน ยืนนิ่งประดุจรูปปั้นมิไหวติง
พลันปลายกระบี่ของนักพรตเต่าดำเกิดเป็นประกายรังสีวูบวาบ ร่างทั้งสี่
รายล้อมโค่วหย่งเทียนไว้ แล้วจู่โจมมาทั้งสี่ทิศ ประดุจภูเขายักษ์สี่ลูกหล่น
มาทับโค่วหย่งเทียน ให้บี้แบนเป็นผุยผง ทั้งเร็วดุดันเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา น่า
หวาดหวั่นพรั่นพรึง เมื่อรังสีกระบี่พุ่งมาถึง
โค่วหย่งเทียนพลันขยับคราหนึ่ง ร่างก็อันตรธานเลือนหายไป ต่อเมื่อ
ปลายกระบี่ทั้งสี่ประสานกัน ทุกผู้คนต่างเห็นร่างของบุรุษหนุ่ม ใช้ปลายเท้า
ข้างหนึ่งเหยียบ อยู่บนจุดบรรจบของปลายกระบี่ทั้งสี่ ใยมิสร้างความตื่นตระ
หนกต่อนักพรตกระบี่เต่าดำ และผู้คน ทั้งตื่นตระหนกวิชาตัวอันสูงส่งราวกับ
ภูตพรายปีศาจเทพเซียน กล่าวได้ว่ายังสูงส่งกว่าวิชา ไต่บันไดเมฆของบู๊ตึ้ง
อันเป็นวิชาตัวเบาอันดับหนึ่งของบู๊ลิ้มยุทธภพ
มิทราบมียอดฝีมือที่ตกตาย พ่ายแพ้ต่อกระบวนท่า หนึ่งสววรรค์จตุราชัน
เทพนี้ มากมายเท่าใด กลับมิอาจจะสยบบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้ แต่แล้วพลันกระบี่อีก
เล่มพุ่งออกจากระดองเต่าดำ มาอย่างรวดเร็ว กระบวนท่าแรกยังไม่เสื่อมโทรม
กระบวนท่ากระบี่อีกกระบวน ก็หนุนเนื่องติดตามมา สองสวรรค์ยามาราชันเทพ
อันเป็นกระบวนท่าไม้ตายขั้นสูง นับว่าสิบหลายสิบปีมานี้ นักพรตเต่าดำสาม
สวรรค์ มิเคยใช้กระบวนท่านี้ เนื่องจากทุกผู้ที่ประมือมักจะตกตายภายใต้ กระ
บวนท่าแรกหมดสิ้น สร้างความตื่นตระหนกตื่นตาตื่นใจแก่เหล่าเชลย ขุนโจร
และสมุน ที่ได้มีโอกาศเปิดหูเปิดตา ชมสุดยอดวิชากระบี่ การลงมือของทั้งคู่
บนเวที ล้วนใช้เวลารวดเร็วเพียงชั่วอึดใจเดียว
" ฮ่า ฮ่า ฝีมือเยี่ยม..หากเจ้ายังมิชักดาบ เกรงว่าคงต้องไป
ชักออกที่เมืองปีศาจแล้ว " เสียงนักพรตกระบี่เต่าดำร้องกล่าวตามหลังกระบวน
ท่าที่สอง ของตนด้วยความกระหยิ่มใจ
โค่วหย่งเทียนเพียงยิ้มแต่มิตอบคำ กลับโผร่างขึ้นกลางอากาศ ในสายตาผู้
คนนี่ไยมิเป็นเป้านิ่ง ให้นักพรตเฒ่าเชือดเฉือนดอกหรือ เพราะเมื่อลมปราณสิ้นสุด
ท่าร่างตกลง ย่อมเป็นเป้าให้กระบวนท่าจตุราชันเทพ ที่รออยู่เบื้องร่างจู่โจมสังหาร
กระบวนท่ากระบี่สองสวรรค์ยามาราชันเทพ กลายเป็นจุดแต้มบนอากาศสวยงาม
ราวดอกไม้ไฟมากมาย ในเทศกาลดอกไม้ไฟก็ปาน
เสียงฝักดาบ ปะทะปลายกระบี่ ดังถี่ยิบกลางอากาศ ถ้าเป็นฝักดาบอื่นคงแหลก
ลาญ ด้วยพลังของกระบวนท่ากระบี่สองสวรรค์ยามาราชันเทพ แต่นี่คือฝักดาบตัด
สายฟ้า ที่มีความแข็งเแกร่งกว่าโลหะใด ทั้งประจุไว้ด้วยพลังเทพอสนิบาต แต่แล้ว
ท่าร่างของโค่วหย่งเทียนก็ตกลงตามคาด นักพรตกระบี่เต่าดำยิ้มที่มุมปาก ทุกผู้
คนต่างรับรู้ถึงวาระสุดท้ายของบุรุษหนุ่ม จางจี่ทรวงนางถึงกลับนองน้ำตาซุกใบ
หน้าลงในอกของผู้เป็นบิดา แต่แล้วพลันร่างของโค่วหย่งเทียน ก็หายลับไปอีกครา
นักพรตกระบี่เต่าดำรู้สึกผิดท่า ผู้คนต่างรู้สึกมึนงง เมื่อร่างของบุรุษหล่นวูบลงสู่
คมกระบี่ของกระบวน
ท่าจุตราชันเทพแล้วอันตรธารหายไป ราวภูตผีอีกครา นักพรตเฒ่ารับรู้ถึงการคง
อยู่ของโค่วหย่งเทียน กระบี่่เล่มที่สามพลันพุ่งออกจะกระดองเต่าดำ แทงออกไป
สามกระบี่กลายเป็นกระบวนท่า สามสวรรค์สามสิบสามเทพ เป็นกระบี่ที่รวดเร็วรุน
แรงแหลมคม แทงออกหนึ่งกระบี่กลายเป็นสามสิบสามกระบี่ นี่แทงออกสามกระบี่
จึงเท่ากับว่าเป็นเก้าสิบเก้ากระบี่ ประดุจร่างแหตาข่ายฟ้า พุ่งไปด้านข้าง ที่บัดนี้ร่าง
โค่วหย่งเทียนได้ปรากฏขึ้น โถมดาบฟาดฟันมาจากเบื้องบน เมื่อพลังดาบกับรังสี
กระบี่ปะทะกันเกิดเสียง ระเบิดดังตูมตูม เวทีพังคลืนลงเศษไม้ฝุ่นผงคละคลุ้ง ปรก
คลุมไปทั่วบริเวณ
เมื่อผู้คนหันกลับมามองดูที่เวที ไฉนจะมีเวทีแล้ว กลับกลายเป็นเพียงเศษซาก
หย่อมหนึ่ง แต่กลับปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่มาแทนที่ ภายในหลุม มองเห็น
นักพรตกระบี่เต่าดำ ถือกระบี่เล่มหนึ่งยันกายมิให้ล้มลง ด้วยมืออันสั่นเทา กระบี่
อีกสองเล่มตกอยู่ตามพื้น ชุดนักพรตขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเซื่องซึม เหม่อมองไปเบื้อง
หน้าอย่างไร้จุดหมาย ตรงข้ามเป็นบุรุษหนุ่ม หยัดยืนสงบนิ่ง หลังสะพายดาบใหญ่
ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ด้วยบุคคลิกที่ยิ่งใหญ่ น่าเกรงขามประดุจขุนพลสวรรค์
หากแม้นมีผู้สังเกตุ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย แต่ทว่าบนร่างของบุรุษ หนุ่มกลับ
มิมี ละอองหิมะแม้แต่ละอองเดียว เสียงโห่ร้องเรียกชื่อโค่วหย่งเทียน โค่วหย่งเทียน
ดังอยู่มิขาด ด้วยความยินดีของเหล่าเชลย
" พลังเทพอสนิบาต " นักพรตกระบี่เต่าดำพรึมพร่ำ สายตาพลันเลื่อนลอยเวิ้งว้าง
อันว่าวิชากระบี่เต่าดำสามสวรรค์ เป็นวิชาที่นักพรตเซี่ยอู่ ผู้เป็นปรมาจารย์ของ
นักพรตกระบี่เต่าดำบ้อเซ่งเง็ก เป็นผู้ค้นพบ จากซากปรักหักพังของวัดร้างในทิเบต
ด้วยความเป็นผู้ทักษะยุทธ ตีความเคล็ดวิชาจนสามารถฝึกฝนสำเร็จ แต่ก็เพียงสาม
ในหกขั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะอีกสามขั้นที่เหลือนักพรตเซี่ยอู่ แม้จะตีความได้แต่ก็มิ
สามารถหล่อหลอม ให้เข้ากับแนวเต๋าอันเป็น พื้นวิชาฝีมือเดิมของตนเอง ได้ตั้งชื่อ
ว่าวิชากระบี่เต่าดำสามสวรรค์ มีความร้ายกาจเลอเลิศ มิแพ้วิชากระบี่ชั้นสูงของบู๊ตึ้ง
แต่คำสั่งเสียสุดท้ายของนักพรตเซี่ยอู่ กลับกล่าวว่ามีแต่วิชาพลังเทพอสนิบาตเท่า
นั้น ที่สามารถ สยบวิชากระบี่เต่าดำสามสวรรค์นี้ได้ นี่ไยมิสร้างความแตกตื่นให้แก่
นักพรตเฒ่าผู้นี้ก็แปลกแล้ว
ฝ่ายจอมโจรที่เหลือทั้งหก มิทันฟังว่านักพรตเฒ่าแห่งผ่าเต่าดำ จะกล่าวคำใด
เพราะพวกต่างมิคิดที่จะเงี่ยหูฟัง วาจาใดของนักพรตผู้นี้แล้ว ต่างสบตาสะกิดเท้า
ทะยานร่าง ปานธนูออกจากแหล่งเข้าหาโค่วหย่งเทียน ที่ยืนทอดถอนใจเมื่อเห็น
เหล่าจอมโจรทะยานมา
ด้วยทั้งนี้เหล่าจอมโจรทั้งหกต่างคิดว่าโค่วหย่งเทียนสูญเสีย พลังลมปราณเป็น
อันมาก จากการที่ต่อสู้ที่ติดต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อต่อสู้กับนักพรตกระบี่เต่าดำสาม
สวรรค์ ย่อมต้องสูญเสียพลังลมปราณอย่างมากมาย ตอนนี้คาดคิดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้
ที่หยัดยืนไว้ได้ เพราะเพียงแข็งใจฝืนทำเท่านั้น พลังลมปราณคาดว่าคงแทบหมด
สิ้นแล้ว นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่พวกตนจะสยบ ลงมือสังหารบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้ ด้วย
ต่างประจักษ์ ว่าบุรุษหนุ่มล้ำลึกสูงส่งเพียงใด ลำพังจอมโจรผู้ใดผู้หนึ่ง ล้วนมิอาจ
จะหาญต่อกรได้ จึงคิดใช้วิธีกลุ้มรุม อย่างมิละอาย
" ต่ำทรามนัก ใช้วิธีสุนัขหมู่ ต่อทารก พวกท่านมิละอายบ้างหรือไร "
คุณชายฉินเฉียวส่งเสียงร้องด่า
ได้ยินเสียงของบัณฑิตหน้าขาวแค่นเสียงมาว่า
" หากแม้นพวกมันมีความละอาย ไปบวชเป็นหลวงจีน
คงมิมาเป็นปล้นเขากิน เช่นนี้หรอก "
" เจ้า นับว่าด่าได้สบใจเรานัก " คุณชายฉินเฉียวสบใจเมื่อได้ยินคำด่า
เสียดสีของคู่อริตน
ฝ่ายสมุนโจรได้ฟังต่างลุกฮือ จะเข้ามาเอาเรื่องสองเชลย แต่นักพรตกระบี่
เต่าดำที่ถูกสยบลดความลำพองไปสิ้น กล่าวห้ามไว้ มิให้สมุนโจรวุ่นวายไป แม้
ว่าจะลอบละอาย แทนเหล่าจอมโจรทั้งหก แต่ยี่ต้องโทษที่โค่วหย่งเทียนนั้นฝี
มือสูงส่งเก่งเกินไป
โค่วหย่งเทียนกวาดตามองขุนโจรทั้งหมด ด้วยท่าทีเฉยเมย แล้วกล่าวขึ้นว่า
" ดีเหมือนกัน พวกท่านทั้งหกเข้ามีทีเดียวพร้อมกัน จะได้มิสิ้นเปลืองเวลา "
" บัดซบ อย่าได้กำแหงเกินไป เวลาตายของเจ้าอยู่ข้างหน้านี้แล้ว "กระบี่จงอาง
ร้องตวาดออกไป
ฝ่ายฝ่ามือมหากาฬที่สายตาจ้องเขม็ง ที่โค่วหย่งเทียนเมื่อคราแรก มิกล่าววาจา
ใด ด้วยตนเร่งเร้าพลังเข้าสู่ฝ่ามือจนกลายเป็นสีดำ ทั้งหมดลอบตกลงกันให้กระบี่จง
อาง เบนความสนใจของโค่วหย่งเทียน พวกตนทั้งห้าจะลงมือจู่โจมสังหารพร้อมกัน
อันเล่ห์เหลี่ยมของชาวยุทธ โค้วหย่งเทียน ย่อมทราบดี เพราะเป็นสิ่งที่ดาบจอมภพ
ผู้เป็นอาจารย์ พร่ำสอน
" หย่งเทียน ในวงการนักเลงบู๊ลิ้ม บางครั้งเล่ห์เหลี่ยมยังร้ายกาจกว่าวิชาฝีมือ
อาศัยฝีมือสี่ส่วนอีกหกส่วน เป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ชั่วร้ายยังอาจสยบผู้ที่มีฝีมือ
เหนือกว่าตนได้ เจ้าจงพึงระวัง อยู่วู่วามเวลาลงมือจงหาจุดอ่อนของศัตตรู
เมื่อสบโอกาส ค่อยช่วงชิงลงมือ เช่นนี้จึงจัดว่ารวบรัดหมดจดงดงาม "
ฉะนั้นการลงมือต่อสู้ทุกครั้งของโค้วหย่งเทียน จึงเน้นไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้
มิออกฝีมือพร่ำเพรื่อ ลงมือคราใด ย่อมหวังผลครานั้น
ขุนโจรทั้งหก รุกกระหนาบมารอบด้าน ปิดทางถอยของโค้วหย่งเทียนจนหมดสิ้น
สภาวะกดดันเปรียบประดุจถูกโอบล้อมด้วย ปราการเหล็กใหญ่ ที่มีเปลวเพลิวอันร้อน
แรงลุกไหม้ เข้ามารอบด้าน จนต้องเร้าพลังเข้าสู่ดาบตัดสายฟ้าขึ้นอีกสี่ส่วน แล้วชี้
ดาบลงพื้น ปลายฝักดาบแลบแปลบปลาบ ขุนโจรทั้งหกมิใส่ใจ ว่าสิ่งที่แลบแปลบ
ปลาบที่ปลายฝักดาบของบุรุษหนุ่มนั้นคือสิ่งใด เพราะขณะนี้พวกตนได้ลงมือแล้ว
ลงมืออย่างเหี้ยมโหดด้วยท่าไม้ตาย ที่สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิของแต่ละคน กระบี่
จงอางร่ายรำกระบี่จนเกิดประกายสีทองเจิดจ้า ดาบทลายภูผาฟาดฟันด้วยกระบวน
ท่าดาบ ที่ตรงทื่อแต่มั่นคงเต็มเปี่ยมไปด้วย พลังทำลายล้างภูผาทั้งลูก ราวจะให้
หายไปภายในพริบตา บัณฑิตสองหน้าใช้พัดเหล็ก แผ่พลังเย็นยะเยียบลี้ลับ ทวน
คู่สยบฟ้าสองเล่ม ประดุจพญามังกรฟ้าพิโรษ สองตัวทะยานมาด้านข้าง จอมโจร
หัวเหล็กจู่โจมด้านหลัง ด้วยฝ่ามือและหมัดด้วยพลังสิบสองส่วนด้วยวิชาเกาะทอง
ด้านหน้าเป็นฝ่ามือสีดำครอบคลุมจนมืดมิด ทั้งหมดล้วนมุ่งสังหารบุรุษหนุ่ม ที่ยืน
ดาบนิ่ง หรือมีเพียงปาฏิหาริย์ เท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ มิว่าเชลยและเหล่าโจรทั้ง
หลาย มิมีผู้ใดที่อยากจะหายใจ ต่างกลั้นไว้ เพื่อรอลุ้นเหตุการณ์ที่จะปรากกขึ้น
ในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
พระยูไลช่วยคุณชายโค่วด้วย เสียงเหล่าเชลยต่างสวดอ้อนวอนให้พระองค์ผู้
มีเมตตาแสดงปาฏิหาริย์อีกครา ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น ?
โค่วหย่งเทียนยืนสงบนิ่งชี้ดาบลงสู่พื้น เป็นเสมือนการ เปิดช่องโหว่เชื้อเชิญ
ให้เหล่าจอมโจรทั้งหก ลงมือเข่นฆ่าสังหารได้ตามปราถนา แต่จะทำได้หรือ
โค่วหย่งเทียนที่ยืนนิ่งพลัน ชักดาบตวัดขึ้นเบื้องบนศรีษะตนอย่างรวดเร็ว ก่อ
เกิดเป็นประกายสายวิชุแลบแปลบปลาบ ส่งเสียงดังกึกก้องดั่งท้องฟ้าพิโรษเมื่อ
วสันตฤดู แต่นี่มิใช่ฤดูฝนแต่หากเป็นฤดูหนาว ไฉนเล่าจึงปรากฏนี้ขึ้นหรือนี่จะเป็น
ปาฏิหาริย์ของพระยูไล มิว่าจะเกิดจากปาฏิหารย์หรือไม่ ขณะนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
เสียงระเบิดดัง ตูม ตูม ดังกึกก้องขึ้น จนสะท้านทั่วขุนเขา เกิดเป็นหลุมขนาด
กว้างใหญ่กว่าหลุมแรกมากมายนัก เหล่าขุนโจรต่างถูกพลังของสายวิชุชำแรกเข้า
สู่ร่างกาย กระแทกกระเด็นไปคนละทิศทาง นอนแน่นิ่งดวงตาเบิกโพลง ผิวไหม้
เกรียม เป็นหย่อมหย่อม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งมีสภาพทุลักทุเล ยิ่งกว่านักพรตกระบี่เต่า
ดำสามสวรรค์ แม้บางคนจะพยายามตะเกียกตะกายหมายลุกขึ้น ก็หาอาจทำได้ไม่
มีเพียงโค่วหย่งเทียนยืนถือดาบ ที่มีสายวิชุแลบแปลบปลาบไปตามตัวดาบ จนเมื่อ
สอดเข้าฝักจึงค่อยหายไป ดูประหนึ่งว่าภายในฝักดาบนั้น บรรจุเต็มไปด้วยสายวิชุ
อสนิบาต
เหล่าผู้คนต่างดวงตาเบิกโพลงด้วยตื่นตระหนกขวัญผวา แข้งขาอ่อนระทวยล้ม
ลง เกิดความเงียบงันเข้ามาแทนที่ แต่เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญ ของเหล่าจอมโจร
จึงค่อยมีสติขึ้น สมุนโจรต่างลนลานเข้าไปประคองเหล่าหัวหน้าตน เสียงเชลยโห่
ร้องด้วยความยินดี ดังกึกก้องประหนึ่งฟ้าจะถล่มทลาย
เมื่อจิตแน่วแน่ด้วยศรัทธา ย่อมก่อเกิดเป็นปาฏิหารย์
ฟ้าลิขิตคน หรือคน ลิขิตฟ้ากันแน่หนอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น