วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดาบคลั่งโลหิต ตอน4 วิวาห์สายฟ้าในรังโจร



                             
                       วิวาห์สายฟ้าในรังโจร


                                  

       โค่วหย่งเทียน จางเจี้ยนจง และจางจี่ทรวง ถูกนำมายังเรือนคุมขังใหญ่

แห่งหนึ่งในชุมโจร มีโจรท่วงทีเข้มแข็งมีฝีมือ ยืนถืออาวุธตามจุดต่างๆ  ภาย

ในเรือนคุมขังโล่งกว้างขวาง มีผู้คนจำนวนหนึ่ง แต่งกายแตกต่างกัน คนเหล่า

ล้วนถูกพวกโจรจับตัวมาขัง  ณ ที่แห่งนี้มีทั้ง นักศึกษา พ่อค้า ขุนนาง แม้กระ  

ทั่งมือปราบ ยังถูกจับมา นับว่าค่ายโจรแห่งนี้มิธรรมดา


         "   นับว่าพวกเจ้ายังโชคดี ที่ได้อยู่ในห้องนี้ " 

       เสียงอันดุดันของโจรผู้คุมตัวมากล่าวขึ้น  แล้วเดินจากไปอย่างมิไยดี

เมื่อมีผู้มาใหม่ ผู้คนภายในห้องล้วน มองดูด้วยประกายตาอันแตกต่างกัน มี


ทั้งตื่นเต้น ยินดี ทั้งสลดหดหู่ บ้างเฉยชา ดวงตาไร้ประกายหมดอาลัย ต่อ

ชีวิต บ้างมีท่าทีน้ำใจเป็นมิตร ต้อนรับผู้มาใหม่ เพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน  โค่ว

หย่งเทียนกวาดตามองคราหนึ่ง แล้วเดินนำพาสองพ่อลูกแซ่จาง เลือกเอามุม

ห้องด้านหนึ่งเป็นที่พำนัก จางเจี้ยนจงเมื่อวางบุตรตรีลง แล้วหันไปกล่าวกับ

โค่วหย่งเทียนว่า

        " คุณชายโค่ว เรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวอ้างท่านเป็นบุตรเขย

  ต่อหน้าจอมโจรหัวเหล็ก ต้องขออภัยท่านด้วย "  


 " มิเป็นไรท่านจาง เป็นเรื่องสถานการณ์นำพาไป  " โค่วหย่งเทียนกล่าวตอบ

 
       คำกล่าวของคนทั้งสอง สร้างความขวยเขินแก่จางจี่ทรวงมิน้อย จนต้อง


ก้มหน้ามองพื้นนิ่งอยู่  ฝ่ายจางเจี้ยนจง ชีวิตมีแต่หนังสือตำรา ไร้ซึ่งวิชาฝีมือ 

เมื่อตกมาถึงอยู่ในเงื้อมมือโจร คาดคิดว่าชีวิตตน มิอาจที่จะรอดพ้นไปได้ เป็น

ห่วงก็แต่บุตรตรีผู้ยังเยาว์ หนำซ้ำ ยังเป็นโรคประหลาด มิต่างจากผู้พิการ  จึง

คิดปลูกฝังบุตรตรีให้แก่บุรุษหนุ่ม ซึ่งดูแล้วมีท่าทีมิเลว แม้จะตกอยู่ในสถาน

การณ์ที่เป็นตาย ยังคงดูโปรดโปร่งรักษาความเยือกเย็นไว้ได้  แต่ยังกริ่งเกรง

ว่าบุรุษหนุ่มจะรังเกียจ บุตรตรีของตน ที่เป็นเสมือนผู้พิการคนหนึ่ง  จึงตัดสิน

ใจกล่าวขึ้นว่า


     " คุณชายโค่ว ถ้าเรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นเรื่องจริงเล่า 

 ท่านมีความเห็นอย่างไร  "

     
    "  เอ่อ ..เรื่องนี้.. ข้าพเจ้า .."    บุรุุษหนุ่มแม้จะยินดี เพราะนางเป็นสตรีที่


ตนมิเคยลืม แต่เมื่อคิดว่าเราเพิ่งลงเขา ยังมิได้ชำระแก้แค้น ชีวิตข้างหน้าเสี่ยง

กับความเป็นตาย มิอาจรู้ได้ จึงได้แต่กล่าวอ้ำอึ้ง   


   จางจี่ทรวงนางเมื่อได้ยินบุรุษในดวงใจที่ตนเฝ้าฝันหา กล่าววาจาอ้ำอึ้งนึกว่า


อีกฝ่ายรังเกียจตน ที่เป็นผู้พิการจึงมีท่าทีเช่นนี้ สีหน้าพลันสลดลง ใบหน้าอัน

สะคราญสวยซึ้ง พลันมีหยาดน้ำตาคลอเบ้า แม้กระนั้นยังมิอาจจะลดความงาม

ของนางลงได้  เป็นความงามอันน่าทะนุถนอมโศรกซึ้งตรึงใจชนิดหนึ่ง ที่มิว่า

ผู้ใดพบเห็นต้องมิลืมเลือนและพ่ายแพ้แก่นาง   เมื่อคิดดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า

    

       "   ท่านบิดา ข้าพเจ้ารู้สภาพของตนดี  ว่ามิคู่ควรกับคุณชาย  "

   

  "  มิได้คุณหนู เป็นข้าพเจ้ามิคู่ควรท่าน " โค่วหย่งเทียนรีบกล่าวอย่างลนลาน


       
        "  หรือว่าคุณชายมี คู่มั่นหมายอยู่แล้ว  "   จางเจี้ยนจงกล่าวขึ้น


         
   "  มิได้ ข้าพเจ้ายังมิ คู่หมั้นหมายแต่ประการใด เพียงแต่ .. " โค่วหย่งเทียน

หยุดนิดนึงแล้วกล่าวต่อว่า


     " ข้าพเจ้า เพิ่งลงเขายังมิได้กราบหลุมฝังศพของบิดามารดา และยังมีหน้า

       ที่จะต้องทำ ชีวิตข้างหน้ายากที่จะคาดเดาได้  กริ่ง เกรงเบื้องหน้า จะพก
       พาความยากลำบาก ให้แก่คุณหนู  "


       
     "  เป็นเช่นนี้เอง  เรื่องของวันหน้าก็สุดแท้แต่สวรรค์เบื้องบนเถิด

 แสดงว่าท่านมิได้รังเกียจบุตตรีของเรา  "  


   จางเจี้ยนจงเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี แล้วหันมองบุตตรีที่ตอนนี้สีหน้า แช่มชื่น


ขึ้นมาทันที  ฝ่ายจางจี่ทรวง นางคิดในใจว่าเขามิได้รังเกียจเรา ที่แท้เป็นเพราะ

เขามีหน้าที่จะต้องไปกระทำ เมื่อคิดดังนั้นสีหน้าพลันแดงระเรื่อขึ้นมา จางเจี้ยน

จงหัวเราะขึ้น แล้วกล่าวว่า


         "   เป็นอันว่าคุณชายโค่วมิขัดข้อง   "


  โค่วหย่งเทียน ใบหน้าแดงร้อนผ่าว ก้มลงประสานมืออย่างลนลาน กล่าวว่า

        "  หากท่านจางมิรังเกียจ ว่าผู้เยาว์เป็นคนต้อยต่ำ ผู้เยาว์จะรักและ

ปกป้องคุณหนูไว้ด้วยชีวิต ของผู้เยาว์เอง  "


   
  "   เจ้ายังเรียกเราว่าท่าน  เรียกตนว่าผู้เยาว์อีกเหรอ  ฮ่าา  "   


       "  ขอบพระคุณท่านพ่อตา  ผู้เป็นบุตรขอเคารพท่าน 

ดุจบิดาบังเกิดเกล้าผู้ให้กำเนิด  "  



   โค้วหย่งเทียนคุกเข่าโขกศรีษะกราบกราน จางเจี้ยนจงที่ยืนยิ้มลูบหนวด

ของตนไปมาด้วยความยินดี
             

   จางจี่ทรวงใบหน้าร้อนผ่าวรู้สึกวาบหวาม ดื่มด่ำกับคำว่า รักและจะปกป้อง


นางด้วยชีวิต ของบุรุษหนุ่มที่ตนประทับตราตรึงใจ บุรุษที่เป็นรักครั้งแรกของ

นาง  บุรุษที่หลายปีมานี้นางมิมีวันลืมและเฝ้าฝันหา  เป็นรักครั้งแรกของโค่ว

หย่งเทียนเช่นเดียวกัน สวรรค์เบื้องบนช่างแปลกนัก ชักนำให้คนทั้งสองพาน

พบกัน แล้วแยกจาก แล้วนำพาให้ประสบพบกันอีกครา นี่จะมีสักกี่คู่กัน ที่เป็น

เช่นนี้กันเล่า    



     ทุกคนในห้องล้วนสงสัยและแปลกใจต่อท่าทีของเชลยผู้มาใหม่ทั้งสาม   


ท่ามกลางความเป็นตาย ไยคนทั้งสามถึงมีท่าทีเบิกบานใจเช่นนี้ โดยมิท่าที

นำพาต่อชะตาชีวิตความเป็นตายในเบื้องหน้า ชั่งน่าแปลกแท้   


        ในที่สุดก็มีผู้ที่มิอาจจะ อดทนเก็บงำความสังสัยของตนไว้ได้  บุรุษร่างสูง


ใหญ่สวมชุดมือปราบ ที่ขาดรุ่งริ่งมอมแมม แต่ยังเหลือเค้าว่าเป็นชุดมือปราบเมือง

หลวงอยู่ อันบ่งบอกสภาพว่า ถูกคุมขังมาเป็นเวลานาน ค่อยๆก้าวเดินเข้ามา ประ

สานมือแล้วกล่าวแนะนำตนเองขึ้น

       
        "   ขออภัย ท่านทั้งสาม ข้าพหวงเซิง เป็นมือปราบเมืองหลวง 

 มิทราบพวกท่านคือ ? "   


         "  ข้าพเจ้าจางเจี้ยนจง  นั่นบุตตรีข้าพเจ้าจี่ทรวง  "

 
         "  ข้าพเจ้าโค้วหย่งเทียน   "   


    คนทั้งสามต่างแนะนำตนเอง เมื่อมีบุคคลหนึ่งเข้ามา ย่อมมีบุคคลที่สอง


สามเข้ามา  ทุกคนภายในห้องต่างทยอย ทำความรู้จัก เพื่อนร่วมชะตากรรม

ผู้มาคนใหม่ บรรดาคนเหล่านี้ ล้วนถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายเดือน ส่วนมาก

จะรอญาติของตนนำทรัพย์สินมาไถ่ตัว ด้วยเป็นผู้ที่มีฐานะตระกูล อันมั่งคั่ง

ด้วยทรัพย์สินเงินทอง    


     ที่สะดุดตาโค้วหย่งเทียน คือชายวัยกลางคนนาม ตู้ฉวน แต่งกายเรียบ


ร้อย ด้วยอาภรณ์เนื้อดีลักษณะเป็นผู้มีทรงภูมิความรู้ อีกผู้หนึ่งคือบัณทิตหนุ่ม

หน้าขาว ท่าทางสำอาง นามว่าเกาลี่ซัน สวมชุดสีขาวเลิศหรู บงบอกลักษณะ

ว่ามีฐานะมั่งคั่ง แต่ดวงตาเจ้าเล่ห์ มักมีประกายประหลาด คอยลอบเมื่อมอง 

จางจี่ทรวง ที่มุมห้องมีบุคคลผู้หนึ่ง แต่งกายแบบนักบู๊ นอนพิงหนังห้องกึ่งนั่ง

กึ่งนอน ของคนได้รับบาดเจ็บบอบช้ำภายใน   มีเพียงสายตาที่ส่งมาทักทาย 

โค่วหย่งเทียน    


        "  นั่นคือคุณชายฉินเฉียว   "    มือปราบ หวงเซิง กล่าวแนะนำขึ้น  


    โค้วหย่งเทียน โค้งศรีษะเป็นการคำนับ มือปราบแซ่หวง กล่าวสืบไปอีกว่า  


    "  คุณชายฉินเฉียว  ฉายากระบี่ลมกรด นับว่ามีฝีมือสูงส่งในบรรดาพวกเรา

 ทั้งยังเป็นบุตรหลานตระกูลขุนพลใหญ่  "

           

             คำกล่าวมิทันจบก็มีเสียงหนึ่งแว่วดังมา 


     
         "  สูงส่งจนต้องมานอนซมอสภาพทุลักทุเลอยู่แบบนี้   "      

          บัณฑิตหน้าขาวเกาลี่ซัน กล่าวแทรกขึ้นด้วยท่าทีเย้ยหยัน 


             

      " หุบปากโสโครกของเจ้าซะ  เจ้าคนแซ่เกา เก็บไว้ประจบ

 ขันทีเกาลี่ซือ น้าเจ้าเถอะ   "    


    เสียงของกระบี่ลมกรดฉินเฉียว ร้องสวนขึ้นมาทันทีด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด 


เมื่อได้ยินบัณทิตหน้าขาว กล่าวเสียดสีตน แต่แล้วก็พลันไอขึ้นจนตัวสั่นด้วย

ความเดือดดาล ทำให้บัณทิตหน้าขาวกลายเป็นหน้าแดงก่ำไปด้วยโทสะ แต่

ก่อนที่จะร้องกล่าวโต้ตอบสิ่งใด  ขุนนางตู้ฉวน ก็ชิงกล่าวห้ามปรามขึ้นว่า


        " พวกท่านทั้งสองคน ทะเลาะกันทุกวี่วัน  มิเบื่อบ้างหรือไร เฮ้อ.. "  

     ขุนนางตู้ฉวน กล่าวขึ้นแล้วส่ายหน้าด้วยความละอา กับทั้งสองบุรษ


   
     " เฮอะ  เสียทีเป็นลูกหลานขุนพล ฉินซูเป่า  กลับมีฝีมือแค่นี้เอง  "    


          บัณทิตหน้าขาวยังคงกล่าวเสียดสี กระบี่ลมกรดฉินเฉียวต่อ


   
       "  เจ้า..เจ้า..  พวกแซ่เกา ขันที..ดีแต่กล่าววาจา... "    

  คุณชายฉินเฉียว เดือดดาลร้องกล่าวได้ไม่กี่คำ ก็กระอักโลหิตล้มฟุบลง 



    "  คุณชายฉินท่านเป็นฉันใดแล้ว "  เสียงกล่าวอย่างตกใจของมือปราบ


หวงเซิง   จากนั้นทุกคนก็เข้าไปดูอาการของคุณชายฉินเฉียว โค่วหย่งเทียน

รีบทาบฝ่ามือที่กลาง หลังถ่ายพลังลมปราณ ชักนำลมปราณให้รวมตัว พร้อม

ทั้งชักนำอวัยวะภายในให้เข้าที่ดังเดิม  

     ด้วยเมื่อครั้งที่โดนพลังฝ่ามือ ของจอมโจรทิจือเหล็งทำให้อวัยวะภายใน


เคลื่อนที่  เป็นเหตุให้หลายเดือนมานี้ อาการบาดเจ็บของกระบี่ลมกรด มิได้

ทุเลาเบาบางลง   ฝ่ายบัณทิต หน้าขาว  ยังคงยืนแสยะยิ้มที่มุมปากอยู่ที่เดิม

ด้วยความสะใจ
    
         
     กระบี่ลมกรดและบัณทิตหน้าขาว ต่างฝ่ายต่าง มีความคิดดูถูกกันและกัน


ด้านกระบี่ลมกรดฉินเฉียว ถือตัวว่า อยู่ในตระกูลขุนพลใหญ่ รังเกียจพวกขันที 

ที่มีนิสัยประจบประแจง ทั้งคิดว่าคนเหล่านี้เป็นสตรีก็มิใช่บุรษก็มิเชิง  บัณฑิต

หน้าขาวมีศักดิ์เป็นหลาน ขันที่เกาลี่ซือ ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมิน้อย จึงเป็น

ข้อรังเกียจของกระบี่ลมกรด   


   ด้านบัณทิตหน้าขาวพื้นเพมาจากชาวบ้าน ผู้ยากไร้ มีจิตคิดริษยาและชิงชัง

พวกขุนนางตระกูลสูง  ด้วยตอนวัยเยาว์เป็นเด็กยากจนแร้นแค้น แต่พวกขุน


นางกลับอยู่อย่างสุขสบายดี่ ที่ตนมีวันนี้ได้เพราะมี เกาลี่ซือผู้น้าคอยส่งเสริม 


     กระบี่ลมกรดฉินเฉียวแม้เป็นบุตรหลานตระกูลขุนพล แต่มีนิสัยปล่อยตัว 


ท่องเที่ยวหาความสำราญไปวันๆเมื่อได้ยินว่า ค่ายโจรพยัคฆ์ขาว จับตัวตู้ฉวน

ขุนนางของทางการ และผู้คนมิใช่น้อยไว้ หมายข่มขู่กรรโชกทรัพย์สิน จึงโลด

แล่นบุกรังโจรหวังสร้างชื่อทำตัวเป็นผู้กล้า ด้วยความอ่อนประสบการณ์วู่วามใจ

ร้อนถือดีในฝีมือ จึงได้พลาดท่าเสียทีขุนโจรหัวเหล็กทิจือเหล็ง  มิเพียงไม่สา

มารถช่วยเหลือผู้ใดได้ แม้แต่ตนเองยังโดนทำร้ายบาดเจ็บถูกจับคุมขัง มิเพียง

ไม่อาจสร้างชื่อ นับว่านำความอัยอายมาสู่ตระกูลขุนพลของตน 



      หลังจากกระบี่ลมกรด ฉินเฉียวฟื้นขึ้นมาพลันพบว่า ตนเองอาการดีขึ้น


อย่างน่าประหลาด  

   
                       "  ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ  "  

     กระบี่ลมกรดประสานมือกล่าวขอบคุณโค่วหย่งเทียน ด้วยความทราบซึ้ง 


เมื่อทราบว่าใครเป็นผู้ช่วยเหลือตน  


     

     "   มิเป็นไรคุณชาย เพียงเรื่องเล็กน้อย "  โค้วหย่งเทียนกล่าวตอบ    

 
            ได้ยินเสียงของ บัณฑิตหน้าขาวแค่นเสียงกล่าวแว่วมาว่า

   
          "   เฮอะนึกว่า จะมิรอดซะแล้ว   "


         กระบี่ลมกรดได้ยินถึงกลับถลึงตาใส่   จางเจี้ยนจงเห็นดังนั้นจึงรีบ เอ่ยขึ้น 


    "  คุณชายเพิ่งฟื้น  อาการเพิ่งจะทุเลา มิควรวู่วาม  "


    "   ขอบคุณท่านจาง  "     กระบี่ลมกรดกล่าวขอบคุณ


       " น่ายินดี น่ายินดีนัก  คุณชายฉินอาการดีขึ้น  

นับว่าเป็นความหวังของพวกเราอีกครา   "   ขุนนางตู้ฉวน กล่าวขึ้นอย่างยินดี


    ด้วยคิดเห็นว่าหากกระบี่ลมกรดหายดี ย่อมมีโอกาส ทางทีจะหลบหนีไปได้ 

ฝ่ายมือปราบหวงเห็นทุกอย่างคลี่คลายในทางที่ดี และยังรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มแซ่

โค่วผู้นี้ เป็นผู้มีวิชาฝีมือผู้หนึ่ง แต่มิทราบว่าอยู่ในระดับใด แต่คาดว่าน่าจะเป็น

ประโยชน์  ต่อการหลบหนีออกจากค่ายโจรแห่งนี้ แต่สิ่งที่ตน

  ใคร่รู้ เมื่อคราแรกก็พลันผุดเข้ามาในหัวอีกครา


     "   คุณชายฉินก็อาการดีขึ้นแล้ว  เอ่อ  .. "  

มือปราบหวงเริ่มกล่าวอ้อมแอ้มเพื่อเข้าจุดหมายของตน แล้วกล่าวสืบไปว่า



     "  มิทราบว่า คราแรกที่พวกท่าน ทั้งสามเข้ามาเหตุไฉนจึง 

  มีสีหน้าเบิกบานแช่มชื่น มิทราบเป็นเรื่องไร  "


    คำถามนี้กลับเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้เช่นกัน บัณทิตหน้าขาวถึงขนาด 


ขยับเข้ามา  เอียงหูคอยรับฟังแต่มิวายยักคิ้วเป็น เชิงไว้ท่าอยู่คราหนึ่ง


   สองพ่อลูกแซ่จางและโค่วหย่งเทียนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ฝ่ายจางจี่ทรวง


ถึงกับใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเป็นสีชมพู งามผุดผาดจนสะท้านใจผู้คน 

      
" เป็นเรื่องราวใดกันท่านจาง  " ขุนนาง ตู้ฉวน กล่าวบ้างด้วยความอยากรู้


   "   มิมีเรื่องอันใดท่าน  เพียงข้าพเจ้าอายุมากแล้วยังตกมาอยู่ในรังโจร 

จะตายวันตายพรุ่ง มิรู้แน่ชัดมีบุตตรีผู้เดียวที่เป็นห่วง " กล่าวแล้วมองบุตตรี
ที่หน้าแดงขวยอาย มองโค่วหย่งเทียนที่ใบหน้าร้อนผ่าว แล้วกล่าวสืบไปว่า


   " คุณชายโค่วเป็นคนดี เคยช่วยเหลือบุตตรีข้าพเจ้าไว้เมื่อหลายปีก่อน

     บัดนี้มาพบพานกันนับว่าเป็นวาสนา ข้าพจึงตกลงใจยก บุตตรี ให้แก่
     คุณชายโค่วหย่งเทียน ข้าพเจ้านับว่านอนตายตาหลับแล้ว ฮ่าฮ่า "


           จางเจี้ยนจงกล่าวแล้วลูบหนวดอันยาวของตน หัวเราะด้วยยินดี  


     " ขอแสดงความยินดี กับท่านจาง ที่มีบุตรเขย องอาจเช่นคุณชายโค่ว  "  

                          ขุนนาง ตู้ฉวนกล่าวแสดงความยินดี
  

      ทุกคนต่างแสดงความยินดีกับ โค่วหย่งเทียน ที่ได้ภรรยาสระคราญโฉม


ดุจนางสวรรค์ มีทั้งความยินดีและเวทนาต่อโชคชะตา ของนางที่มิอาจเดินได้

อย่างคนทั่วไป นับว่าสวรรค์ไร้ตา ฟ้าดินบกพร่อง ไฉนจึงให้ยอดหญิงสะคราญ

โฉม มีชะตาอาภัพเช่นนี้   ถึงกระนั้นยังสร้างความอิจฉาแก่ บัณฑิตหน้าขาวที่

ลอบเสียดายยอดหญิงงาม


 
      พิธีไหว้ฟ้าดินถูกจัดขึ้นภายใน เรือนรับรองแห่งนั้นหรืออีก นัยหนึ่งเรือน


คุมขังเชลยชั้นสูง สร้างความปลาบปลื้มแก่จางเจี้ยนจง ที่ได้เห็นบุตตรีวิวาห์ 

ก่อนตาย ถึงแม้จะมิได้เข้าหอ คนทั้งสองนับว่าได้หล่อหลอมชะตาชีวิตร่วมกัน 

มีใจดวงเดียวกัน  งานมงคลนี้แม้จะอยู่ในค่ายโจรแต่ก็ได้สร้างความสุข นับว่า

คลายทุกข์ ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง   ให้แก่ ผู้ที่ถูกคุมขังในค่ายโจรแห่งนี้

                   



     ความสุข ความทุกข์เป็นสิ่งคู่กัน มาชั่วนาน หมุนเวียนเปลี่ยนแปรผัน
 มิรู้สิ้น  วันนี้สุข แล้วพรุ่งนี้เล่า ?
                         



        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น