ศึกสัประยุทธกระบี่หัวซาน
มัน.. มัน.. เป็นไปได้ยังไง...
เจ้าสำนักคุ้มภัย อู่อิงสง แค่นเสียงออกมา ด้วยใบหน้าสุดยากจะบรรยาย
ที่หน้าแตก พกพาความอับอายกลับมายังสำนักตน พร้อมกับเหล่าบรรดาหัวหน้า
สำนักคุ้มภัยทั้งสามและหัวหน้ามือปราบ จูง้วนคัง ที่บัดนี้ทุกคนต่างมีสีหน้ามิแตก
ต่างกัน ด้วยแผนการที่พวกตนวางไว้อย่างดี ไฉนจึงล้มเหลวมิเป็นท่าเช่นนี้ได้
" พวกเราวางกำลังคนสกัดทาง ถึงสองทาง มิคาดพวกมันจะซ้อนกลพวกเรา "
หัวหน้ามือปราบ จูง้วนคังกล่าวขึ้น
" ขอหัวหน้าจู เล่าออกมาให้ละเอียด " เจ้าสำนักคุ้มภัยมังกรทอง รีบเอ่ยขึ้น
ด้วยตระหนกกับคำกล่าวของหัวหน้ามือปราบ ต้องการที่จะรู้ถึงความผิดพลาดของ
แผนการอันรัดกุมของพวกตน
หัวหน้ามือปราบจูง้วนคังจึงกล่าวสืบไปว่า
" ข้าพเจ้าได้รับรายงานเมื่อครู่ พวกมันแยกกันเป็นสองขบวน ขบวนแรกเป็น
เตียวทูฟงคุ้มกันมาก่อนในเส้นทางใหญ่ จากนั้นมีบุรุษหนุ่มโพกศรีษะชุดเขียว
คุ้มกันมาอีกขบวนในเส้นทางน้อย "
" ใช่เจ้าหนุ่มตัวดำหน้าอ่อน ชุดเขียวผู้ที่ยืนเคียงข้าง เตียวทูฟงหรือไม่ "
เจ้าสำนักคุ้มภัยไผ่ขจีหงซุนเอ่ยถามขึ้น
" ใช่แล้วท่านหง เป็นมันและมันผู้นี้ผู้เดียว เล่นงานลูกน้องฝีมือดี
ของข้าพเจ้าไปถึงยี่สิบกว่าคน " หัวหน้ามือปราบแซ่จูกล่าวตอบ
" ไฮ้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย " เจ้านักคุ้มภัยมาบิน เบ๊งึ่นเช็งโพล่งออกมา
หน้ามือปราบแซ่จู ผงกศรีษะ แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า
" ขบวนที่เตียวทูฟง คุมมาในเส้นทางใหญ่ คนของข้าพเจ้าตั้งด่านสกัดตรวจ
ลอบใส่ผงกำซ่านของนิกายฟ้าเอกกะไว้ มิคาดว่าขบวนนี้กลับเป็นขบวนอำ
พรางพวกเรา ขบวนสินค้าจริงกลับเป็นเจ้าบุรุษหนุ่มชุดเขียว นั่นคุมมาใน
เส้นทางน้อย "
พอทุกคนได้ฟังถึงกลับอึ้งอ้าปากค้าง นิ่งเงียบงันไปชั่วขณะ แล้วหลินจิ้ง
เจ้าสำนักคุ้มภัยหมื่นลี้ก็ เอ่ยถามขึ้นว่า
" เช่นนี้เป็นว่า พวกมันมีสองขบวน แล้วตอนที่่อยู่สำนักเยื่อวารี
ไฉนพวกเราถึงเห็นขบวนเดียว "
" นั่นสิหรือมัน ล่องหนหายตัวได้ " เจ้าสักคุ้มภัยหงซุนกล่าวเสริมขึ้น
ด้วยความสงสัย หัวหน้า มือปราบแซ่จูจึงกล่าวตอบว่า
" ฟังว่าขบวนที่เตียวทูฟงคุมมา พวกมันตัดเข้าเส้นทางน้อย
วกกลับไปยังสำนักของพวกมันแล้ว "
ร้ายกาจ.. เสียงของบรรดาเจ้าสำนักคุ้มภัย แทบร้องโพล่งออกมาพร้อมกัน
" ลำพังเตียวทูฟง มันมิน่าจะมีปัญญาขบคิดอุบายได้ถึงเพียงนี้ " เจ้าสำนักคุ้ม
ภัยมังกรทองอู่อิงสงกล่าวขึ้น
" ชะรอยจะมีผู้คิดการให้มันกระมัง " หลินจิ้งเจ้าสำนักคุ้มภัยหมื่นลี้กล่าวเสริม
" แล้วคนผู้นั้นเป็นผู้ใด "
เมื่อเจ้าสำมังกรทอง อู่อิงสง กล่าวจบทุกคนต่างมองตากันไปมา ประหนึ่งจะ
กล่าวว่า เราอยู่กับท่าน ท่านถามเรา แล้วเรา จะถามผู้ใด
สำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมสาขาฉางอาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลั่วเหออันเป็นแม่น้ำ
สาขาฉางอาน ของแม่น้ำใหญ่หวงเหอ เตียวทูฟงหลังจากกลับใจแล้วจากทางมืด
เข้าสู่ทางสว่างแล้ว ได้นำสมัครพรรคพวกก่อร่าง สร้างสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม
ฉางอานขึ้นที่นี่ ทิ้งค่ายโจรที่ เขาลี่ซันให้กลายเป็นอดีตไป
อันนครฉางอาน อดีตเป็นราชธานีที่เจริญรุ่งเรืองของหลายราชวงศ์ แต่ปัจจุบันนี้
คือราชธานีอันรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง
บุรุษหนุ่มโพกศรีษะชุดเขียวยืนเหม่อมอง แม่น้ำสีเหลืองที่ไหลเอื่อยๆราบเรียบ
ประดุจดั่งแม่น้ำสายนี้ ไร้ซึ่งเรื่องราวให้ห่วงกังวล ผิดกลับจิตใจของบุรุษผู้ยืนเหม่อมอง
เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆได้เกิดขึ้นกับตนอย่างรวดเร็ว เมื่อห้าเดือนก่อนสำเร็จสุดยอด
วิชาจากดาบจอมภพโค่วชิวเสาะอาจารย์ผู้ล่วงลับ ได้เผชิญกับเหล่าโจรร้าย ได้เจอกับ
นางในฝัน ท้ายที่สุดได้เข้าพิธีไหว้ฟ้าดินกับนาง ทั้งยังกลายเป็นประมุขสมาพันธ์สาย
ฟ้าคุณธรรม ที่มีผู้คนหลายพันชีวิต ฝากความหวังเอาไว้ บุรุษผิวสีหมึกโพกศรีษะชุด
เขียวผู้นี้คือโค่วหย่งเทียนนั่นเอง
หลังจากปรับรากฐานสมาพันธ์ อยู่เกือบเดือน อันเชิญหลวงจีนชราอยู่เป็นหลัก
ส่งสอนเหล่าโจรผู้กลับใจ ให้ตั้งมั่นมิหวั่นไหวหวนกลับสู่ทางมืดดำอีก จางจี่ทรวง
และบิดาของนางก็อยู่อย่างสุขสบาย ในฐานะประมุขหญิงและพ่อตาประมุขสมาพันธ์
โค่วหย่งเทียนอยู่ร่วมกับนางอย่างมีความสุข จนลืมวันเวลาที่ค่ายพยัคฆ์ขาวหลาย
เดือน ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสำนักคุ้มภัย สายฟ้าคุณธรรมแห่งเหิงซาน จนกระทั่ง
ค่ำคืนหนึ่งที่ ได้ผวาตื่นกลางคืนฝันเห็นเหล่าญาติพี่น้อง บิดามารร่ำร้องให้แก้แค้น
ทั้งยังตำหนิ ว่าตนลืมความแค้นของตระกูล จึงได้อำลาผู้คนและจางจี่ทรวงด้วย
เหตุจำเป็น ซึ่งนางก็เข้าใจ และจะรอตนอยู่ที่สำนักคุ้มภัยหวงซาน จึงเร่งรีบออก
เดินทาง มายังนครฉางอาน
โค่วหย่งเทียนได้กลับไปบ้านเก่า ในยามวิกาล ซึ่งทรุดโทรมเหลือเพียงซาก
บ้านหลังหนึ่ง ต้องสะท้อนใจ แทบมิอาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ มิน่าเชื่อว่านี่คือบ้าน
ของตน บ้านที่เคยอบอุ่น คราคร่ำไปด้วยญาติพี่น้อง และบริวาร มากมาย ยิ่งมอง
ดูหลุมศพมากมายที่หลังบ้าน น้ำตากลับไหลนองใบหน้าตั้งแต่เมื่อใด โค่วหย่ง
เทียนมิอาจทราบได้ ทราบแต่เพียงว่า ขณะนี้ตนบังเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้าง
ว้าง 'บิดามารดาไฉนท่านจึงทิ้งข้าพเจ้าไป ไยมิพาหย่งเทียนไปกับพวกท่านด้วย '
โค่วหย่งเทียนได้แต่ครุ่นคิด รำพันกับตนเองด้วยความโศรกอาดูร
ค่ำคืนนั้นทุกผู้ที่อยู่บริเวณระแวกนั้น ต่างได้ยินเสียงร้องอันเกรี้ยวกราด ท่าม
กลางสายวิชุแลบแปลบปลาบ สลับกับเสียงโหยไห้อันโหยหวน ชวนให้ผู้คนหวาด
หวั่นพรั่นพรึงขวัญผวา
รุ่งเช้าบรรดาเหล่าผู้คนที่ได้ยินเสียงประหลาด เมื่อยามค่ำคืน ต่างมุ่งไปยังสถาน
ที่นั้น สิ่งที่ทุกผู้ประจักษ์แก่สายตาคือ บริเวณหลุมศพที่มีหญ้าขึ้นเต็มรกชัด จนผู้คน
มิกล้าแม้แต่จะเหลียวมอง บัดนี้กลับเตียนโล่ง ปราศจากต้นหญ้าแม้แต่เส้นเดียว หลุม
ศพทุกหลุมสะอาดราวกับมีผู้เช็ดถูปัดกวาด มีธูปปักอยู่หน้าป้ายทุกหลุม หากจะว่า
เป็นฝีมือมนุษย์ก็มิอาจจะทำได้รวบรัดหมดจดเช่นนี้ในชั่วข้ามคืน ต่างลงความเห็นว่า
คงเป็นฝีมือ ภูตร้ายวิญญาณหลอนหรือ เทพอสูรเป็นผู้เนรมิตเป็นแน่แท้
แต่ถ้าหากจะ มีผู้ใดสังเกตุผงขี้เถ้าจากก้านธูปที่ยังอุ่นๆอยู่ นั่นย่อมจะรู้ว่าเป็น
ฝีมือมนุษย์อย่างแน่แท้และจะมีผู้ใดรู้บ้างว่า มนุษย์ผู้นั้นคือทายาทเพียงคนเดียว ที่
หลุดรอดหัตถ์ของมัจุราช ในค่ำคืนสายธารโลหิตไหลนอง ของคนตระกูล " เยี่ย "
โค่งหย่งเทียน เป็นคนตะกูลเยี่ย แซ่เยี่ย แต่ไฉนตอนนี้กลับใช้แซ่ โค่ว นั่นเพราะ
ดาบจอมภพโค่วชิวเสาะผู้เป็นอาจารย์ ต้องการลดความยุ่งยากในภายหน้า เมื่อยาม
โค่วหย่งเทียนต้องแก้แค้น จึงให้ใช้แซ่ตนแทน อีกทั้งดาบจอมภพ ไร้ซึ่งทายาท
อยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างตลอดมา การที่โค่วหย่งเทียนมาใช้แซ่โค่วของตน นับว่า
เป็นการปลอบประโลมใจแก่ ดาบจอมภพ โค่วชิวเสาะอีกทางหนึ่ง
ในอดีต ดาบจอมภพโค่วชิวเสาะ ได้บังเกิดมีสัมพันธ์รักกับดรุณีนางหนึ่ง ถึงแม้
ดาบจอมภพจะมีอายุร่วมร้อยปี แต่กลับดูเหมือนบุรุษผู้มีอายุสามสิบกว่าปี ผมดำขลับ
เพียงแต่มีจอนสีขาวเท่านั้น ยิ่งขับเน้นบุคลิกดูสง่างามสมเป็นยอดคน ดาบจอมภพ
แม้จะบอกความจริงกับนางถึงอายุที่ต่างกันมาก แต่ดรุณีนางนั้นกลับ บอกว่าอันความ
รัก มิมีแบ่งชนชั้นวรรณะ ศาสนา อายุใดใด หากแม้นว่า คนสองคนผูกจิตสัมพันธ์มั่น
ทุกสิ่งย่อมไร้ซึ่งความหมาย ถ้าหากแม้นท่านปฏิเสธข้าพเจ้า เท่ากลับว่าเป็นท่านที่
มิรักข้าพเจ้าแล้ว
เหตุผลของนาง สุดที่ดาบจอมภพจะนึกหาเหตุผลใด มาหักล้างได้ เพราะดาบ
จอมภพได้พบว่า ภายในใจของตน ได้ถูกดรุณีน้อยนางนี้ครอบครองไว้สิ้นหมดแล้ว
ความรักของทั้งคู่ประดุจดอกไม้ผลิบาน กำลังออกดอกงามสะพรั่ง แต่แล้วกลับ
มีมือคู่หนึ่ง เป็นมืออันโหดร้าย มาทุบทำลายดอกไม้ ให้แหลกลาน มือคู่นั้นมิใช่มือ
ของผู้ใด เป็นมือของบิดานาง เทพกระบี่รุ่ยลิฟง นั่นเอง
เนื่องจากวัยที่ห่างไกลกัน บิดานางจึงบังเกิดความอับอาย เพราะบิดาของนางคือ
เจ้าสำนักกระบี่เทพ ทั้งยังได้ตระเตรียมที่จะยกนางให้แก่ชายอื่น อีกทั้งในขณะนั้นดาบ
จอมภพได้คบหากับเป็นสหายคนในพรรคมารผู้หนึ่ง จึงเข้าใจผิดคิดว่าดาบจอมภพ สม
คบคิดกับพวกพรรคมาร บุกเข่นฆ่าฝ่ายธรรมะ จึงได้พรากบุตรีของตนไปจากดาบจอม
ภพ หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ดาบจอมภพจะพลิกแผ่นดินออกค้นหา ไปทั่ว
ทุกแห่งหน ก็มิพบเจอนางอันเป็นที่ัรักและสำนักกระบี่เทพ แม้แต่เบาะแสเดียว
ดาบจอมภพ หัวใจแทบแตกสลาย อยู่ไปแบบไร้ตัวตน มีเพียงร่างและความหวัง
อันริบหรี่ที่ตนได้สร้างขึ้นไว้ในใจ ว่าจะได้พบกับนางอีกสักครั้ง ดาบจอมภพมิถามไถ่
เรื่องราวในวงการยุทธจักรนักเลงบู๊ลิ้ม ไปมาไร้ร่องรอย ชื่อของดาบจอมภพ จึงค่อยๆ
จางเลือนหาย กลายเป็นเพียงตำนานบทหนึ่งของบู๊ลิ้มไป จิตใจได้เคี่ยวกรำให้ร่างกาย
ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ จวบจนมาพบกับโค่วหย่งเทียน รู้สึกผูกพันธ์ถูกชะตา ทำให้มีกำ
ลังใจขึ้นมาอีกครา ในการที่จะสืบหานางอันเป็นที่รักของตน
นี่คืออีกภารกิจหนึ่งของโค่วหย่งเทียน คือสืบหาอาจารย์หญิงของตน และสำนัก
กระบี่เทพ เพื่อสานต่อปณิธานความหวังของดาบจอมภพผู้เป็นอาจารย์
หลังจากไหว้หลุมศพบิดามารดาและเหล่าญาติพี่น้อง โค่วหย่งเทียนจึงมุ่งหน้าไป
ยังสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรมแห่งฉานอาน ที่เตียวทูฟงดูแลอยู่ ในระหว่างทางกลับ
พบว่าเตียวทูฟง ได้ถูกกรุ้มรุมโดยยอดฝีมือชุดดำห้าคน ในสภาพร่อแร่คับขันเต็มที
เห็นได้ว่า ภายในสองกระบวนท่าเตียวทูฟง คงต้องทอดร่างกายเป็นซากศพ ภายใต้
คมกระบี่ ของคนชุดดำทั้งห้าคนเป็นแน่แท้
ในช่วงเป็นตายนั้น โค่วหย่งเทียนผนึกพลังอสนิบาต ผ่านนิ้วทั้งห้าเป็นดรรชนีห้า
สายแผ่พุ่งออกไป กระทบกระบี่สังหาร ของคนชุดดำทั้งห้าอย่างทันท่วงที จนกระบี่
หักเป็นสองท่อนทั้งสิ้น อีกทั้งพลังที่แฝงไปนั้น ได้ชำแรกกระบี่เข้าสู่แขนของคนร้าย
ทั้งห้า จนต้องตีลังกากลับหลังเจ็ดตลบ จึงค่อยสลายพลังไปได้ ถึงกระนั้นคนชุดดำ
ทั้งห้า ยังรู้สึกปวดร้าวสะท้านที่แขนจนกระบี่หลุดจากมือไป ด้วยความตกใจคนชุดดำ
ทั้งห้า รีบกุมแขนขวาของตน ที่ยังสั่นสะท้าน บังเกิดความตื่นตระหนกต่อฝีมืออันสูง
ส่งของผู้มาใหม่ มิทันมองว่าเป็นผู้ใด ต่างพุ่งร่างหนีฝ่าความมืดหายไป คนชุดดำ
อื่นๆต่างทะยานหนีหายติดตามไปดุจกัน
เตียวทูฟงและลูกน้องเมื่อรู้ว่า ผู้ที่มาช่วยเหลือพวกตนคือโค่วหย่งเทียนประมุขของ
ตน ต่างดีใจบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ โค่วหย่งเทียนจึงเสนออุบายในการขนสินค้า ทั้งยัง
ให้เตียวทูฟงและลูกน้องคนสนิท ปกปิดฐานะและชื่อของตน โดยให้เรียกตนในฐานะ
ผู้ตรวจการสำนักคุ้มภัยสายฟ้าคุณธรรม นามว่าเทียนหย่ง ทั้งส่งสายสืบออกตามหา
สำนักกระบี่เทพและผู้ที่รอดชีวิตในเหตุการณ์ ฆ่าล้างตระกูลเยี่ย เมื่อห้าปีก่อน
คนเมื่อจากไป ไฉนร่องรอยความหลังนั้น ไยกลับมิเคยจักเลือนหายตาม
" ท่าน....เอ่อท่านผู้ตรวจการ "
เสียงของเตียวทูฟง ดังขึ้นจากทางเบื้องหลังของโค่วหย่งเทียน พร้อมกับ
บุรุษสูงวัยหน้าตามอมแมม ผมกระเซิงปรกคลุมใบหน้า ข้างเอวแขวนไว้ด้วยน้ำเต้า
สีแดง ท่าทางน่าขบขันผู้หนึ่งติดตามมา หากแม้นว่าผู้ใดมีนัยตามิมืดบอด ก็ยอมจะ
ทราบว่า บุรุษสูงวัยผู้นี้คือขอทานชราผู้หนึ่ง
" ท่านเจ้าสำนักเตียว ท่านผู้นี้คือ " โค่วหย่งเทียนกล่าวขึ้น เมื่อเห็นเตียวทูฟง
นำชายผู้หนึ่งเข้ามา
" ท่านผู้นี้คือ พี่จิวตงเซียน ผู้อาวุโสของพรรคกระยาจก " เตียวทูฟงกล่าวแนะนำขึ้น
" ผู้น้อย เทียนหย่งคาระวะ ท่านผู้อาวุโส จิว " โค่วหย่งเทียนในนามเทียนหย่ง
ประสานมือคำนับขอทานชราพรรคกระยาจก
" ยินดี ยินดียิ่ง ท่านเทียนหย่ง อายุยังเยาว์ กลับได้เป็นถึงผู้ตรวจการ
สำนักคุ้มภัย สายฟ้าคุณธรรมนับว่ามิธรรมดา "
ขอทานชรากล่าวพลางหยีตา เหม่อมองบุรุษหนึ่งด้วยความชื่นชม
เตียวทูฟงและจิวตงเซียน ทั้งสองต่างเคยเป็นศิษย์สำนักหัวซาน แต่ด้วยนิสัย
พฤติกรรมที่มักจะออกนอกลู่นอกทาง มิอยู่ในกฏระเบียบของสำนัก จึงถูกขับออก
จากสำนักมาพร้อมกัน เส้นทางชีวิตทำให้ทั้งสอง ต่างแยกย้ายไปตามวิถีทางของ
ตนเอง จิวตงเซียนระเหเร่ร่อนจนได้เข้าสังกัด พรรคกระยาจก ด้วยความเป็นผู้ชอบ
ดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ มีน้ำเต้าสีแดงที่บรรจุสุรามิเคยขาดอยู่ข้างเอว จึงมีฉายาว่า
เซียนเมาน้ำเต้าแดง
ส่วนเตียวทูฟง ฉายากระบี่หัวซานมีกระบี่เพลงบี่ที่พริ้วไหวล้ำลึกแต่กลับเลือก
เดินในเส้นทางสายมืดดำ ทำให้เซียนเมาน้ำเต้าแดง นึกเดียจฉันท์จึงตีตัวออกห่าง
แต่เมื่อรู้ข่าวว่าเตียวทูฟงกลับใจเข้าสู่เส้นทางสว่าง จึงได้กลับมาคบค้าสมาคม ฉัน
ศิษย์พี่น้องเหมือนเดิม ด้วยเบื้องลึกในใจทั้งสอง ยังคงผูกพันธ์อยู่กับสำนักหัวซาน
มิคลาย
ถ้าพูดถึงเพลงหมัดมวยต้องเส้าหลิน เพลงกระบี่ต้องหัวซาน ที่มีเพลงกระบี่ล้ำ
ลึก มีชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่วบู๊ลิ้มยุทธภพวงการนักเลง มิเพียงแต่เพลงกระบี่ที่โดด
เด่น สำนักหัวซานยังมีพลังลมปราณล้ำลึกอีกแขนงหนึ่ง คือพลังปราณมังกรแดง
นอกจากปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักหัวซานแล้ว ยังมิเคยมีผู้ใดที่มีสามารถหลอมรวม
ฝึกวิชาทั้งสองแขนงนี้สำเร็จเป็นหนึ่งได้ ภายหลังจึงได้มีการแบ่งแยกกันฝึก เกิด
เป็นฝักฝ่าย หัวซานเหนือ หัวซานใต้ จนเกิดศึกภายในแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันขึ้น
หัวซานใต้เป็นสายกระบี่ หัวซานเหนือเป็นสายพลังปราณ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยน
กันครองตำแหน่งเจ้าสำนักหัวซานเรื่อยมา ตามแต่ที่ช่วงใดฝ่ายใด จะมีกำลังกล้า
แข็งกว่ากัน
เตียวทูฟงเป็นศิษย์สายกระบี่หัวซานใต้ จิวตงเซียนเป็นศิษย์หัวซานเหนือสาย
พลังลมปราณ แต่ทั้งสองกลับเบื่อหน่ายในการชิงดีชิงเด่น ของเหล่าศิษย์พี่น้องทั้ง
สองสาย จึงชักชวนกันท่องยุทธภพ ใช้ชีวิตในวงการนักเลงหลายปี เมื่อกลับมา
สำนัก ต่างถูกผู้นำหัวซานฝ่ายตน ขับออกจากสำนักในฐานะที่มิภักดี ไม่ช่วยเหลือ
พรรคพวกฝ่ายตนให้เป็นใหญ่ และหัวหน้าผู้นำหัวซานใต้ ในตอนนั้น ก็คือเจ้าสำนัก
หัวซานคนปัจจุบัน เล้งซุนคุ้ง ที่เอาชนะพลังปราณมังกรแดง ขั้นสี่ของเมี่ยวสั่งเซิน
ผู้นำสายพลังปราณจนทำให้ เมี่ยวสั่งเซิน ได้จากไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่บัดนี้ ข่าวการมาของเมี่ยวสั่งเซิน ได้ทำให้ยอดขุนเขาสำนักหัวซานต้องสั่น
สะท้าน เงาเมฆสีดำทะมึนได้ปรกคลุมไปทั่ว และมีทีท่าว่าจะกลืนกินยอดขุนเขาหัว
ซานให้หายไป
เตียวทูฟงและเซียนเมาน้ำเต้าแดง อย่างไรก็เคยเป็นศิษย์สำนักเขาซาน หวั่น
เกรงจะเกิดศึก ระหว่างศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก จนต้องหลั่งโลหิตโชลมขุนเขาหัวซาน
ให้กลายเป็นสีแดงขึ้น
เมื่อโค้วหย่งเทียนทราบความจริงว่า เซียนเมาน้ำเต้าแดงคือศิษย์พี่ของ เตียวทู
ฟง จึงบอกเล่าความจริง และเหตุผลที่ตนต้อง ปลอมแปลงใช้อีกชื่อหนึ่ง
" ผู้เยาว์ต้องขออภัย ท่านผุ้อาวุโส " โค้วหย่งเทียนประสานมือกล่าวขอโทษ
เซียนเมาน้ำเต้าแดง ที่ตนมิได้บอกชื่อและฐานะตน ตั้งแต่แรก
" มิกล้า มิกล้า ได้รู้จักวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ซ้ำยังเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียว
ของท่านดาบจอมภพ เช่น ประมุขโค่วนับว่าเป็นวาสนา ของขอทานเฒ่าแล้ว "
ขอทานชรากล่าวด้วยความตื่นตระหนก ในใจให้รู้สึกชื่นชมยินดี เมื่อได้รู้ฐานะที่แท้
จริง ของโค่วหย่งเทียน เข้าใจในความจำเป็นที่บุรุษหนุ่มต้องปลอมตัวในครั้งนี้
ขณะนั้น เตียวทูฟงได้เอ่ยขึ้นว่า
" เรียนท่านประมุข ความจริงเรื่องของสำนักหัวซานในครั้งนี้
มิควรเดือดร้อนถึงท่านประมุข "
เมื่อเตียวทูฟง หยุดนิดหนึ่งแล้ว หันไปมองหน้าขอทานชรา แล้วกล่าวสืบไปว่า
" เรื่องนี้หากแม้น เมี่ยวสั่งเซิน มิชักนำคนนอก อย่างนิกายฟ้าเอกกะเข้า
มาเกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าและศิษย์พี่จิว ก็คงปล่อยให้เป็นไปตาม วิถีทาง
กฏของสำนักหัวซาน จะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยว "
โค่วหย่งเทียนเมื่อได้ยินคำว่า เมี่ยวสั่งเซิน ตาเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่ง เมี่ยวสั่ง
เซิน ผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มคนชุดดำที่ เข่นฆ่าล้างตระกูล เยี่ย มิใช่หรือ แต่ก็รีบงำความ
ยินดีไว้ แม้เตียวทูฟงและเซียนเมาน้ำเต้าแดง จะสังเกตุเห็นท่าทีเปลี่ยนแปลงของ
โค่วหย่งเทียน ที่ปรากฏแววตาอันเย็นยะเยียบน่าหวาดหวั่นขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่กลับ
พากันเข้าใจว่าบุรุษหนุ่มคงมี อารมณ์ร่วมกับพวกตน
" เรื่องนี้ต้องโทษบรรดาผู้คนที่หลง มั่วเมาในการแย่งชิงอำนาจ จนให้สำนักตกต่ำ "
เซียนเมาน้ำเต้าแดงกล่าว พร้อมกับยกน้ำเต้าแดงที่บรรจุสุราขึ้นดื่ม อย่างเอือมระอา
ต่อการชิงดีชิงเด่น ของเหล่าศิษย์ในสำนักหัวซาน
โค่วหย่งเทียนเมื่อได้ฟังเรื่องราว ต่างเห็นใจคนทั้งสอง ถึงแม้คนทั้งจะเคยถูก
ขับออกจากสำนักกลายเป็นคนนอก แต่จิตใจยังห่วงกังวลต่อชีวิตของผู้คนในอดีต
สำนัก นับว่าทั้งคู่เป็นผู้ที่น่ายกย่อง โค่วหย่งเทียนจึงเอ่ยขึ้นว่า
" หากท่านทั้งสองมีสิ่งใดที่ ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือได้
เชิญกล่าวมาได้เต็มที่ ข้าพเจ้าจะมิบ่ายเบี่ยงจะทำจนสุดความสามารถ "
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของโค่วหย่งเทียน ทั้งคู่ต่างมีความยินดี เซียนเมาน้ำเต้าแดง
จึงกล่าวขึ้นอย่างตื้นตัน
" เช่นนี้นับ ประเสริฐ ยิ่ง "
" ขอบพระคุณ ท่านประมุขที่เมตตายื่นมือเข้าช่วยเหลือ เหตุนองเลือดในครั้งนี้
นับว่ายังพอมีทางที่จะช่วยบรรเทาได้ "เตียวทูฟงกล่าวขึ้น
..............................................
" ยอดขุนเขาตระหง่าน
ม่านกระบี่พริ้วไหว
สายธารล้ำลึกเกรียงไกร
ใจมั่นรวมกันเป็นหนึ่ง "
บนลานยอดเขาสำนักหัวซาน บรรดาศิษย์ สำนักหัวซานต่างเปล่งเสียง ทั้ง
ร่ายรำกระบวนท่ากระบี่ อย่างพร้อมเพียงกัน ก่อเกิดเป็นม่านกระบี่ พริ้วไหวดุจสาย
ลม บุรุษรูปร่างสูงใหญ่อายุราวหกสิบกว่าปีผู้หนึ่ง กำลังยืนจับจ้องมองกระบวนท่า
ค่ายกลกระบี่หัวซาน อย่างใจจดใจจ่อ ขมวดคิ้วเข้าหากันจนดูน่าเกรงขาม
" ใจมั่นรวมกันเป็นหนึ่ง พวกเจ้าเวลาประสานกระบี่ จะต้องมีจิตสัมพันธ์กัน
ยอมตกตายด้วยกันอานุภาพของค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน จึงเปล่งอานุ
ภาพได้เต็มที่ อืม..นับว่าใช้ได้ "
" ขอพระคุณท่านอาจารย์ที่สอนสั่ง "
บรรดาศิษย์ หัวซานต่างเปล่งเสียงน้อมรับ คำสั่งสอนของผู้เป็นอาจารย์อย่าง
พร้อมเพรียง กระบวนท่าค่ายกลกระบี่หัวซาน พลันเพล่งประกายอานุภาพออกมา
ทำให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ในตอนแรกของผู้เป็นอาจารย์ เริ่มคลายออกจนปรากฏ
รอยยิ้มที่มุมปากขึ้น พลางลูบหนวดอันยาวของตน มองดูเหล่าศิษย์ด้วยความชื่น
ชม อาจารย์ผู้นี้คือเจ้าสำนักหัวซาน คนปัจจุบัน กระบี่มังกรหัวซาน เล้งซุนคุ้ง
อันค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน เป็นค่ายกลกระบี่ที่เหล่าบูรพาจารย์ของสำนัก ทุ่มเท
สติปัญญา ผ่านการแก้ไขขัดเกลา จนสมบูรณ์เปี่ยมไปด้วยอานุภาพ หากแม้นว่ามีผู้
ตกเข้าไปในค่ายกลเก้ากระบี่หัวซานแล้ว มีเพียงทางสายเดียวให้เลือก หากมิยอม
แพ้ คือ ตกตายแบบซากสมบูรณ์ หรือ กลายเป็นซากที่อวัยวะกระจัดกระจาย
ผู้ฝึกจะต้องเป็นมือกระบี่ที่ทัดเทียมกัน เก้าคน ใช้กระบี่เก้าเล่ม ทำกิจวัตร่วมกันกิน
นอน ขับถ่าย ร่วมสุขทุกข์ในเวลาพร้อมกัน ทั้งเก้าคนจึงมีจิตมั่นรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
แม้ยอมตกตายร่วมกัน นับว่าเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจเหี้ยมโหด
ครั้งนี้เจ้าสำนักหัวซาน กระบี่มังกรหัวซาน เล้งซุนคุ้ง ได้ตระเตรียมค่ายกลเก้ากระบี่
หัวซาน ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
พลันมีเสียงอันเปี่ยมด้วย พลังอันสมบูรณ์แกร่งกร้าว ดังมา
" ฮ่ะ ฮ่ะ เล้งซุนคุ้ง ถึงขนาดเตรียม ค่ายกลเก้ากระบี่หัวซาน
ไว้ต้อนรับเราผู้แซ่ เมี่ยว เชียวหรือ "
เสียงกล่าวจากเชิงเขา กลับบรรลุ ดังขึ้นมาถึงลานยอดเขาหัวซาน บ่งบอก
ถึงระดับพลังฝีมืออันสูงส่งของผู้มาเยือน
" เมี่ยวสั่งเซิน ในที่สุด เจ้าก็มาจนได้ "กระบี่มังกรหัวซาน เล้งซุนคุ้งร้องกล่าวขึ้น
ใจแม้ตระหนกกับพลังวัตที่สูงส่งของผู้มา แต่ยังรักษาสีหน้าท่าทีไว้อย่างสงบ พลัน
ปรากฏร่างของบุรุษสูงวัย รูปร่างใหญ่ ใบหน้าสี่เหลี่ยมนัยตา แวววาวราวพยัคฆ์ร้าย
ผู้หนึ่ง คนผู้นี้คือกระบี่บรรพรตเมี่ยวสั่งเซิน เบื้องหลังมีบรรดาศิษย์สำนักหัวซาน
เหนือฝ่ายพลังลมปราณ ถัดไปเป็นกลุ่มคนสวมอาภรสีดำดูลี้ลับกลุ่มหนึ่ง พลันเจ้า
สำนักหัวซาน เล้งซุนคุ้ง จึงกล่าวขึ้นว่า
" เมี่ยวสั่งซุน มิเจอท่านหลายปี ดูท่าพลังฝีมือ คงจะก้าวหน้ามิน้อย "
หยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวเสียงดังยิ่งขึ้นว่า
" แต่เหตุไฉนท่านจึงไปเกลือกกลั้ว กับพวกนิกายฟ้าเอกกะ
นำพาคนเหล่านี้เข้ามาในสำนัก "
กระบี่บรรพรต เมี่ยวสั่งเซิน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงแค่นเสียงกล่าวขึ้นว่า
" เล้งซุนคุ้ง ตอนเจ้าแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักจากเรา เป็นเจ้ามิใช่รึ
ที่ชักนำ คนของราชสำนักเข้ามา บัดนี้เรานำคนของนิกายฟ้าเอกกะ
เข้ามาบ้างจะเป็นไร "
เดิมทีสำนักหัวซานเป็น สำนักในยุทธภพ ที่มิข้องเกี่ยวกับทางราชสำนัก ต่อ
เมื่อกระบี่มังกรหัวซานเล้งซุนคุ้ง ต้องการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักจาก กระบี่บรร
พรตเมี่ยวสั่งเซิน จึงชักนำราชสำนักเข้ามาเกี่ยวข้อง บีบจนเมี่ยวสั่งเซิน ต้องออก
จากสำนักแล้ว หายสาบสูญไป ตั้งแต่นั้นมาสำนักหัวซานก็เปรียบประดุจแขนขา
ของราชสำนัก ส่วนเมี่ยวสั่งเซิน ห้าหกปีมานี้กลับไปพึ่งพิง นิกายฟ้าเอกกะ ทาง
หนึ่งคิดจะยืมมือนิกายฟ้าเอกกะ ในการทวงตำแหน่งเจ้าสำนักหัวซานกลับคืน
อำนาจย่อมครอบงำสำนึก ของผู้แสวงหาซึ่งอำนาจ
กว่าจะรู้ตัวว่าตน ได้ถูกอำนาจกลืนกิน ก็ต่อเมื่อหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว
แม้กระทั่ง " จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น